สร้างอาชีพทำเงินด้วยการเพาะเห็นขอนขาว

การเพาะเห็ดขอนขาว ทำง่าย ได้เงินดี มีอาชีพเสริม

 วันนี้มีเรื่องของเห็ดมาฝากกัน ที่นำเห็ดชนิดนี้มาเพราะมีน้องคนหนึ่งในที่ทำงาน กำลังมองหาอาชีพเสริมอยู่ แบบว่าทำกันในครัวเรือน เจ้าของบล็อกก็คิดว่าจะนำเอาวิธีการเพาะเห็ดขอนขาว การสร้างโรงเรือน รวมทั้งเคล็ดลับอื่นๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านรวบรวมมาให้ศึกษากัน และหากมีข้อแนะนำหรือเสนอแนะก็ฝากข้อความไว้ก็ได้ค่ะ ยินดีแชร์ความรู้ร่วมกัน

สร้างอาชีพทำเงินด้วยการเพาะเห็นขอนขาว

เห็ดขอน เป็นเห็ดที่ขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ตามขอนไม้ที่ผุพังในเขตป่าร้อนชื้น เช่น ประเทศไทย ลาว เขมร เวียดนามและมาเลเซีย ประชาชนนิยมบริโภคกันมากเพราะรสชาติดี ปัจจุบันเกษตรกรหันมาสนใจการเพาะเห็ดชนิดนี้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับการเพาะและการดูแลรักษาไม่ยุ่งยากเกินไป และเหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศของไทยเรา โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะบางปีเพาะได้แม้กระทั่งฤดูหนาว มาดูวิธีการตั้งแต่เริ่มเพาะกันเลย

โรงเรือนเพาะเห็ดขอน ที่ทำจากไม้ ความกว้าง 4 คูณ 6 เมตร สูง 2.50 เมตร ระยะทางเดินประมาณ80-100 cm ใส่ได้ประมาณ 2800-3000 แล้วแต่เราจะใส่ให้สูงประมาณกี่ก้อน ผมแนะนำให้ใส่ความสูงประมาณ 10-12 ก้อนก็พอ เพราะก้อนด้างล้างจะได้ไม่ถูกกดทับมาก ส่วนหลังคาก็ใช้พลาสติกหรือผ้าใบมุง และก็ใช้สแลมคลุมทับอีกทีเพื่อให้มีแสงสว่างตามที่เห็ดของต้องการ สแลมก็จะใช้ประมาณ 80 เปอร์เซน ทำจั่วด้านบนไว้เปิดปิดได้ทั้งสองด้านเพื่อเปิดปิดระบายความร้อนและถ่ายเทอากาศ พื้นควนปรับให้เรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อเพื่อทำความสะอาดได้ง่าย

โรงเพาะเห็ดแบบใช้อิฐบล็อกเหมาะกับเห็ดขอน ขนาด 4 เมตร คูณ 6 เมตร สูง 3 เมตร เก็บความชื้นได้ดี และที่สำคัญไม่ต้องมาซ่อมให้ปวดหัว โรงเพาะเห็ด แบบปูนจะทำความสะอาดได้ง่าย หลังคาใช้กระเบื้อง เพราะไม่ต้องมาเปลี่ยนบ่อยใช้ได้นาน ลงทุนครั้งเดียวจบเลย ต้นทุนโรงเรือนไม่เกินโรงละ 20000 บาท ถ้าได้ค่าแรงช่างถูกก็ดีไป

โรงนี้ก็อีกรูปแบบ เน้นความสวยงามและ สะดวกสบายครับ มีประตูเข้าออกได้ง่าย ราคาไม่แพงครับ ขนาด 4 คูณ7 เมตร สูง 2.5 เมตรครับ ต้นทุนไม่เกิน 5,000 บาท ต่อโรง จุก้อนได้ 3,000 ก้อนสบายๆ
วิธีการเปิดเห็ดขอนควรบ่มก้อนเห็ดในโรงพัก(ไม่ใช่โรงเปิดดอก)อากาศท่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนมาก รอให้เส้นใยเดินเต็มครบกำหนด 40 วัน วันที่ 38 ควรขนก้อนเห็ดใส่โรงเปิดดอกเพื่อให้ก้อนเห็ดได้อากาศก้อนเห็ดก็จะรัดตัวมากว่าเดิม เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ดอกเห็ดหน้าแรกออกได้ดี ลักษณะโรงเรือน ควรเป็นผ้าใบหรือพลาสติก และคลุมด้วนแสลม 80 เปอร์เซ็นไม่สูงหรือต่ำเกินไป

ขั้นตอนที่ 1. นำก้อนเห็ดที่ได้กำหนดเปิดมาเรียงที่โรงเปิดดอกเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ต้องปิดโรงเรือน กันฝนกับแสงแดดก็พอ 
ขั้นตอนที่ 2. แกะกระดาษหนังสือพิมพ์ สำลี คอ และแคะเม็ดข้าวฟ่างออกให้หมดยังไม่ต้องรดน้ำ
ขั้นตอนที่ 3. ผ่านไปหนึ่งคืนก็มาถ่างปากถุง ถ้าเห็นก้อนที่มีลักษณะเป็นตุ่มหน้าก้อนก็สามารถกีดปากถุง (กีดเฉพาะที่เป็นตุ่มเท่านั้น) พอทำการกีดปากถุงก็ปิดโรงเรือน และรดน้ำให้มีความชื้น
ขั้นตอนที่ 4. รดน้ำวันล่ะ 4-5 รอบ/วัน ให้อุณหภูมิอยู่ที่ 32-38 องศา 
ขั้นตอนที่ 5. รอประมาณ 7-8 ชม. หรือมากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่อุณหภูมิก็สามารถมาเก็บผลิดได้
ลักษณะดอกที่ควรเก็บหน้าแรกการเก็บผลผลิดควรเลือกเก็บดอกที่กำลังสวยโดยดูจากดอกตรงกลางมีรอยบุ๋มพอประมาณและเลือกเก็บเฉพาะดอกที่ได้ขนาดเท่านั้น ดอกไหนยังไม่ได้ก็ปล่อยไว้ก่อนอีประมาณ 3-4 ชมพอเก็บดอกรุ่นที่ 1 หมด ก็ทำการแต่งหน้าก้อน ทำความสะอาดโรงเรือน (การทำความสะอาดควรทำทุกวัน) ควรรดน้ำให้หน้าก้อนเห็ดเริ่มดำแล้วค่อยหยุดรดน้ำ 3-5 วัน ก่อนวันที่จะเริ่มรดน้ำควรฉีด จุลินทรีย์ จำพวก พลายแก้ว (ป้องกันกำจัดเชื้อรา) ไมโตรฟากัส (ป้องกันกำจัดไร) บีที (ป้องกันกำจัดหนอน) อาทิตย์ล่ะ 2ครั้ง หลังจากฉีดจุลินทรย์แล้ว ผ่านไปอีกวันก็ รดน้ำวันละ 3 ครั้งเช้ากลางเย็น ให้ความชื้นในโรงเรือนรักษาอุณหภูมิอยู่ที่ 35-38 องศา รอเก็บผลผลิต

 เห็ดขอน เป็นเห็ดที่ขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ตามขอนไม้ที่ผุพังในเขตป่าร้อนชื้น เช่น ประเทศไทย ลาว เขมร เวียดนามและมาเลเซีย ประชาชนนิยมบริโภคกันมากเพราะรสชาติดี ปัจจุบันเกษตรกรหันมาสนใจการเพาะเห็ดชนิดนี้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับการเพาะและการดูแลรักษาไม่ยุ่งยากเกินไป และเหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศของไทยเรา โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะบางปีเพาะได้แม้กระทั่งฤดูหนาว

วิธีการเปิดเห็ดขอนควรบ่มก้อนเห็ดในโรงพัก(ไม่ใช่โรงเปิดดอก)อากาศท่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนมาก รอให้เส้นใยเดินเต็มครบกำหนด 40 วัน วันที่ 38 ควรขนก้อนเห็ดใส่โรงเปิดดอกเพื่อให้ก้อนเห็ดได้อากาศก้อนเห็ดก็จะรัดตัวมากว่าเดิม เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ดอกเห็ดหน้าแรกออกได้ดี ลักษณะโรงเรือน ควรเป็นผ้าใบหรือพลาสติก และคลุมด้วนแสลม 80 เปอร์เซ็นไม่สูงหรือต่ำเกินไป

ขั้นตอนที่ 1. นำก้อนเห็ดที่ได้กำหนดเปิดมาเรียงที่โรงเปิดดอกเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ต้องปิดโรงเรือน กันฝนกับแสงแดดก็พอ
ขั้นตอนที่ 2. แกะกระดาษหนังสือพิมพ์ สำลี คอ และแคะเม็ดข้าวฟ่างออกให้หมดยังไม่ต้องรดน้ำขั้นตอนที่ 3. ผ่านไปหนึ่งคืนก็มาถ่างปากถุง ถ้าเห็นก้อนที่มีลักษณะเป็นตุ่มหน้าก้อนก็สามารถกีดปากถุง (กีดเฉพาะที่เป็นตุ่มเท่านั้น) พอทำการกีดปากถุงก็ปิดโรงเรือน และรดน้ำให้มีความชื้น
ขั้นตอนที่ 4. รดน้ำวันล่ะ 4-5 รอบ/วัน ให้อุณหภูมิอยู่ที่ 32-38 องศา 
ขั้นตอนที่ 5. รอประมาณ 7-8 ชม. หรือมากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่อุณหภูมิก็สามารถมาเก็บผลิดได้

วัสดุอุปกรณ์
1. อาหารเพาะ
2. หัวเชื้อเห็ดลมและเห็ดขอนขาว
3. ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 7"x13" 8"x13" หรือ 9"x13" ฯลฯ
4. คอพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 นิ้ว
5. สำลี ยางรัด
6. ถังนึ่งไม้อัดความดัน
7. โรงเรือนหรือสถานที่บ่มเส้นใย และเปิดดอก

อาหารเพาะ
◦สูตรที่ 1 
■ขี้เลื่อยแห้ง (ไม้ยางพารา, ไม้มะขามฯลฯ) 100 กิโลกรัม
■รำละเอียด 3-5 กิโลกรัม 
■ปูนขาว หรือ แคลเซียมคาร์บอเนต หรือยิปซั่ม 0.5-1 กิโลกรัม 
■น้ำตาลทราย 2-3 กิโลกรัม
■ผสมน้ำ ปรับความชื้น 50-55 กิโลกรัม

◦สูตรที่ 2
■ขี้เลื่อยไม้เบญจพรรณ 100 กิโลกรัม
■แอมโมเนียมซัลเฟต 1 กิโลกรัม 
■ปูนขาว 1 กิโลกรัม
■ผสมส่วนผสมทั้ง 3 ชนิด หมักกับน้ำประมาณ 2-3 เดือน
■กลับกองประมาณ 3-4 ครั้ง นำไปผสมกับรำละเอียด 3 กิโลกรัม
■น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม
■ปรับความชื้นประมาณ 50-55 เปอร์เซ็นต์

วิธีเพาะ
1. บรรจุอาหารเพาะลงในพลาสติกทนร้อน กดให้แน่น สูงประมาณ 2/3 ของถุง
2. รวบปากถุง สวมคอพลาสติก พับปากถุงลงมา ดึงให้ตึง รัดยางให้แน่น อุดด้วยสำลี หุ้มทับด้วยกระดาษหรือฝาครอบพลาสติก
3. นำไปนึ่งฆ่าเชื้อ ที่อุณหภูมิ 90-100 องศาเซลเซียส สม่ำเสมอ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ชั่งโมง จากนั้นทิ้งให้เย็น
4. นำถุงพลาสติกที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้ว มาใส่เชื้อจากหัวเชื้อเห็ดที่เตรียมไว้ โดยทั่วไปจะเลี้ยงในเมล็ดข้าวฟ่าง เขย่าให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจายออก และใส่ลงในถุงอาหารประมาณถุงละ 15-20 เมล็ด โดยปฏิบัติในที่สะอาดไม่มีลมโกรก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลง
5. นำไปวางในโรงเรือนหรือสถานที่สำหรับบ่มเส้นใย อุณหภูมิประมาณ 28-32 องศาเซลเซียส เพื่อให้เส้นใยเจริญ

•การเจริญของเส้นใยเห็ดลมเส้นใยเห็ดลมใช้เวลาในการเจริญเต็มอาหารเพาะน้ำหนัก 800-1,000 กรัม ประมาณ 30-35 วัน จากนั้นเส้นใยจะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม
จนถึงสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำ โดยเฉพาะเมื่อถูกอากาศและแสงระยะเวลาการเจริญทางเส้นใยจนเริ่มให้ดอกเห็ด ขึ้นกับสายพันธุ์ โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 80-90 วัน
•การเจริญของเส้นใยเห็ดขอนขาวคล้ายกับเห็ดลม แต่มีระยะเวลาการเจริญทางเส้นใยตั้งแต่เพาะเชื้อจนเริ่มให้ดอกเห็ด เฉลี่ย 20-30 วัน 
โรงเรือนเปิดดอกโรงเรือนเปิดดอกเห็ดลมและเห็ดขอนขาว ควรให้มีแสงผ่านเข้าภายในโรงเรือนได้ประมาณ 60-70% มีช่องเปิดปิดสำหรับถ่ายเทอากาศ อาจใช้ตาข่ายพรางแสงมุงหลังคาและฝา และในกรณีฤดูฝน มุงหลังคาทับด้วยคา หรือวัสดุกันน้ำ 
•การเปิดถุงและการกระตุ้นให้เกิดดอก
เปิดจุกสำลี หรือตัดปากถุง วางในโรงเรือน ให้ความชื้นโดยการให้น้ำในโรงเรือนและบริเวณก้อนเชื้อ ให้มีความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%

ปรับโรงเรือนให้มีสภาพร้อนชื้น อุณหภูมิประมาณ 33-36 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-3 วัน ดอกเห็ดจะเริ่มงอก จากนั้นปรับอุณหภูมิในโรงเรือนให้ลดลงมีอากาศถ่ายเทได้ดี ความชื้นสัมพันธ์ 60-70% มีแสงสว่างปานกลางเพื่อให้ดอกเห็ดเจริญเติบโตต่อไป ในระหว่างให้ผลผลิตแต่ละครั้งเส้นใยเห็ดลมจะพักตัวประมาณ 15-20 วัน ส่วนเห็ดขอนขาวจะทยอยให้ผลผลิต 

การเก็บดอกเห็ดควรเก็บส่วนต่างๆของดอก ให้หลุดออกจนหมด เพื่อป้องกันการเน่าเสียจากเศษหรือส่วนของดอกเห็ดที่เหลือติดค้างอยู่ที่ก้อนเชื้อ ขนาดของดอกเห็ดที่เก็บขึ้นกับความต้องการของผู้เพาะ ดอกเห็ดอ่อนจะมีราคาสูงกว่าดอกเห็ดที่บานเต็มที่ และมีความเหนียวน้อยกว่าเห็ดบาน 

เห็ดขอนขาว ควรเก็บดอกขณะที่หมวกเห็ดมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3 เซนติเมตรลักษณะดอกที่ควรเก็บหน้าแรกการเก็บผลผลิดควรเลือกเก็บดอกที่กำลังสวยโดยดูจากดอกตรงกลางมีรอยบุ๋มพอประมาณและเลือกเก็บเฉพาะดอกที่ได้ขนาดเท่านั้น ดอกไหนยังไม่ได้ก็ปล่อยไว้ก่อนอีกประมาณ 3-4 ชม
พอเก็บดอกรุ่นที่ 1 หมด ก็ทำการแต่งหน้าก้อน ทำความสะอาดโรงเรือน (การทำความสะอาดควรทำทุกวัน) ควรรดน้ำให้หน้าก้อนเห็ดเริ่มดำแล้วค่อยหยุดรดน้ำ 3-5 วัน ก่อนวันที่จะเริ่มรดน้ำควรฉีด จุลินทรีย์ จำพวก พลายแก้ว (ป้องกันกำจัดเชื้อรา) ไมโตรฟากัส (ป้องกันกำจัดไร) บีที (ป้องกันกำจัดหนอน) อาทิตย์ล่ะ 2ครั้ง หลังจากฉีดจุลินทรย์แล้ว ผ่านไปอีกวันก็ รดน้ำวันละ 3 ครั้งเช้ากลางเย็น ให้ความชื้นในโรงเรือนรักษาอุณหภูมิอยู่ที่ 35-38 องศา รอเก็บผลผลิต

การแก้ปัญหาเห็ดขอนขาวไม่ออกดอก

1. ในการเพาะเห็ดขอนขาวนั้น บริเวณที่เพาะเห็ดต้องไม่ร่มเกินไป บริเวณหลังคาต้องให้แสงแดดส่องถึงพื้นโรงเรือนด้วย ก็หมายความว่า โรงเรือนที่ใช้ในการเพาะเห็ดขอนขาวนั้นต้องไม่ทึบเกินไป ต้องให้มีแสงส่องผ่าน ซึ่งแสงนี่แหละจะเป็นตัวกระตุ้นให้เห็ดเกิดดอกดียิ่งขึ้น
2. การรักษาอุณหภูมิและความชื้น เห็ดขอนขาวต้องการอุณหภูมิในการเกิดดอกประมาณ 32-35 องศาเซลเซียส และอาศัยความชื้นสัมพัทธ์ ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงให้เห็นว่าเราจะต้องมีการให้น้ำ รักษาความชื้น และดูแลเรื่องอุณหภูมิให้เหมาะสมแค่นี้ก็ไม่ทนที่จะเก็บดอกแล้ว
3. การรักษาความสะอาด เพราะโดยปกติแล้วเวลาทำงานไปเรื่อยๆ คนเรามักจะมักง่าย ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความสะอาด ดังนั้นจะทำให้เกิดการหมักหมม ทำให้เกิดโรคและแมลงระบาดได้ ซึ่งจะเป็นการทำลายอนาคตของตนเอง

ไปหน้าแรก  เกษตรพอเพียง


ขอขอบคุณ : บ้านมหาดอทคอม/บ้านสวนพอเพียง/กรมส่งเสริมการเกษตร

ทำเงินกับการปลูกมะกรูดตัดใบป้อนโรงงานน้ำพริก

มะกรูดตัดใบ ป้อนโรงงานน้ำพริกสร้างรายได้ทุกวัน

ทำเงินกับการปลูมะกรูดตัดใบป้อนโรงงานน้ำพริก

เกษตรกรหลายพื้นที่มักประสบปัญหาการเพาะปลูกพืชไม่ได้ผล ส่วนใหญ่เกิดจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากการปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำกันหลายปี ไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียน อีกทั้งมีการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ดินมีสภาพเป็นกรด ขาดความอุดมสมบูรณ์ ดินที่เคยร่วนซุยกลายเป็นดินเหนียวแน่น การระบายน้ำไม่ดี ที่สำคัญเป็นดินที่ขาดจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อดินและพืช ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นดินตาย ไม่ว่าจะมีการใส่ปุ๋ยบำรุงพืชดีเพียงใดก็มักไม่ได้ผล พืชจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น ทางที่ดีก่อนปลูกพืชชนิดใดก็ตามต้องมีการเตรียมดิน ปรับสภาพดินเพื่อให้เหมาะสำหรับการงอกของเมล็ด การปลูกพืชและการเจริญเติบโตของพืช เช่น การไถ การย่อยดิน และการกำจัดวัชพืช ซึ่งหลากหลายปัญหานะค่ะ วันนี้เราจะนำการปลูกมะกรูดตัดใบมาฝากเพื่อนๆ ผู้ติดตามบล็อก Poo nita farm (ภูนิตาฟาร์ม) ค่ะ เพราะมะกรูดนอกจากจะนำปรุงแต่งรสชาติของอาหารแล้ว ยังสามารถจะแปรรูปได้หลายอย่างรวมทั้งจะปลูกเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพหลักของเกษตรกรได้เลยทีเดียว...และมะกรูด ก็เป็นพืชที่ชอบดินที่มีการระบายน้ำที่ดี น้ำไม่ท่วมขังเช่นเดียวกันเพราะฉะนั้นเกษตรกรก็ต้องดูแลเอาใจใส่เพื่อผลผลิตที่ดี

วิธีการปลูก

สภาพพื้นที่ปลูกต้นมะกรูดต้องมีการระบายน้ำที่ดี น้ำไม่ท่วมขัง มีระดับ pH 5.5-7.0 ดินมีอินทรียวัตถุสูง เนื่องจากระยะปลูกมะกรูดมีความสัมพันธ์กับการเตรียมแปลงและจำนวนต้นปลูก ความกว้างของแปลง
ปลูก 1 เมตร ยกระดับความสูงของแปลงประมาณ 20-25 เซนติเมตร ความห่างระหว่างจุดกึ่งกลางของแปลง 1.5 เมตร ระยะปลูกห่างระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ปลูกแบบสลับฟันปลา

การใช้ระยะปลูกที่ห่างกว่านี้ไม่มีความจำเป็นเนื่องจากการผลิตใบมะกรูดต้องอาศัยกรรมวิธีในการตัดแต่งซึ่งเท่ากับเป็นการควบคุมขนาดพุ่มต้นพร้อมกันด้วย กิ่งพันธุ์สามารถใช้ต้นพันธุ์ที่ขยายพันธุ์จากการเพาะเมล็ด กิ่งปักชำ หรือกิ่งตอนก็ได้ แต่ต้นพันธุ์มะกรูดที่จะนำมาใช้ปลูกจะต้องปลอดจากโรคแคงเคอร์ หากโรคแพร่ระบาดเข้าไปในแปลงปลูกแล้ว ก็ยากที่จะกำจัดได้และมีปัญหาต่อการส่งออก

มะกรูดที่นิยมปลูกแบ่งออกได้เป็น 2 สายพันธุ์หลัก

แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือ สายพันธุ์ที่ให้ผลมะกรูดดกตลอดปี ผิวผลค่อนข้างเรียบและผลมีขนาดเล็กอีกสายพันธุ์หนึ่งเป็นพันธุ์ผลใหญ่และติดเป็นพวง ลักษณะของผลมีตะปุ่มตะป่ำคล้ายหูดและมีใบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะที่จะปลูกเพื่อผลิตใบและผลขายส่งโรงงานแปรรูปน้ำมันหอมระเหย เครื่องอุปโภคหลายชนิด อาทิ สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน เครื่องสำอาง ฯลฯ ล้วนแต่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากใบและผลมะกรูด ยังมีข้อมูลบริษัทบางแห่งมีการนำเอาใบมะกรูดไปตากแห้งและบดให้ละเอียด ปั้นเป็นลูกกลอนเพื่อส่งออก บ้างก็นำเอาไปเป็นส่วนผสมในอาหารไก่เพื่อช่วยต้านทานโรค ในทางการแพทย์แผนไทยมีการใช้มะกรูดเป็นยาหรือส่วนผสมของยาต่างๆ อาทิ น้ำในผลมะกรูดแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร น้ำมะกรูดใช้ดองยาเพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตในสตรี ส่วนของเนื้อนำมาใช้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ ส่วนของใบมะกรูดใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้อาการจุกเสียด

การปลูกมะกรูดเพื่อตัดใบขาย

ควรปลูกด้วยกิ่งตอน ก่อนจะปลูกควรนำปุ๋ยคอกมาใส่ผสมกับดิน เพื่อให้ดินมีอาหารอุดมสมบูรณ์ดี หลุมที่ปลูกมีขนาดกว้าง x ยาว x ลึก ประมาณ80เซนติเมตรก่อนที่จะวางพืชลงปลูกในหลุมควรหาใบไม้ใบหญ้าแห้งที่เน่าเปื่อยผุพังใส่รองก้นหลุมระยะปลูกประมาณ 5 x 5เมตร

เทคนิคในการปลูกคือ ก่อนอื่นจะต้องรู้หน้าใบและหลังใบ ในการปลูกส่วนของหน้าใบจะต้องหันสู่ทิศตะวันออก (ดวงอาทิตย์ขึ้นทางไหน หันใบไปทางนั้น) ฤดูกาลปลูกแนะนำให้ปลูกในช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวจะดีที่สุด ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนมักจะพบปัญหาเรื่องโรคราเนื่องจากมีความชื้นสูง
ในการเตรียมหลุมปลูกต้นมะกรูดจะไม่รองก้นหลุมด้วยสารฆ่าแมลงในกลุ่มของสารคาร์โบฟูรานเพื่อป้องกันการทำลายจากปลวก จะใส่สารคาร์โบฟูรานหลังจากปลูกเสร็จ เพราะว่าปลวกหรือแมลงศัตรูในดินจะทำลายรากของต้นมะกรูดในช่วงผิวดินที่ลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร เท่านั้น ต้นมะกรูดจะตั้งตัวหลังจากปลูกไปได้ประมาณ 1 เดือน ให้ใช้ปุ๋ยยูเรียผสมกับปุ๋ยคอกเก่า (ขี้วัวเก่า) ใส่ให้กับต้นมะกรูด แต่ให้ใส่ห่างจากโคนต้นสัก 1 คืบ ถ้าเป็นช่วงฤดูแล้งให้ทำเปลือกถั่วเขียวมาคลุมโคนต้น อย่าให้ติดโคนต้นเช่นกัน ปุ๋ยที่ใส่ไปจะกระตุ้นการแตกยอดให้เร็วขึ้น

การปฏิบัติดูแลรักษา 

การให้น้ำ ในระยะที่ปลูกมะกรูดใหม่ ๆ ต้องหมั่นรดน้ำให้ความชุ่มชื้นแก่พืช จะทำให้พืชตั้งตัวได้เร็ว แตกใบอ่อนกิ่งอ่อนดี

การใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยเพิ่มธาตุอาหารให้พืชเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และปุ๋ยชีวภาพก็ได้ ปกติจะรับประทานใบมะกรูดเป็นอาหารจึงมักใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น 20-14-14 หรือใส่ปุ๋ยพื้น เช่น 15-15-15

สูตรให้ปุ๋ย :
ทางราก..... ขี้วัว - แกลบดิบ - ยิบซั่ม 6 เดือน/ครั้ง.....ให้ "ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิด เถิดเทิง 30-10-10 อัตรา 2 ล./ไร่/เดือน (อ้างอิงจากข้อมูล เกษตรลุงคิม)
ทางใบ...... ให้ "ไบโออิ + ยูเรีย จี. + จิ๊บเบอเรลลิน" 1-2 รอบห่างกันรอบละ 5-7 วัน หลังตัดยอดเก็บใบ

หมายเหตุ : 
- พืชตระกูลส้มต้องการ แม็กเนเซียม-สังกะสี สูง
- ยูเรีย จี, จิ๊บเบอเรลลิน. ช่วยให้แตกยอดใหม่เร็ว
- ให้สารอาหารตามนี้แล้วไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่ม เพราะมีแล้วอย่างเพียงพอสำหรับ มะกรูดตัดใบ

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช จะมีหนอนของผีเสื้อกลางคืนกัดกินใบมะกรูดและยอดอ่อน จึงควรตรวจตราจับหนอนดังกล่าวในเวลาเช้าแล้วทำลายทิ้งเสีย

การดูแลรักษาหลังการปลูก ในช่วง 1-2 เดือนแรกก็เพียงแต่รดน้ำเช้าเย็นเท่านั้น และเมื่ออายุปลูกได้ 8 เดือน จึงบำรุงต้นอีกครั้ง โดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ใส่รอบๆ บริเวณโคนต้น การให้น้ำก็จะลดลงเหลือเพียงวันละครั้งเดียว เมื่อต้นมะกรูดขึ้นปีที่ 2 ก็เริ่มที่จะเก็บผลผลิตตัดใบไปจำหน่ายได้เลย
วิธีตัดใบเพื่อนำไปขาย ให้เลือกตัดกิ่งที่ยาวๆ คล้ายกับเราตัดแต่งกิ่ง เพียงแต่ต้องตัดให้ยาวไว้ ไม่ต้องตัดซอยสั้น หรือให้กิ่งตัดมีความยาว 50 เซนติเมตร ขึ้นไป ส่วนต้นมะกรูดให้แต่งซอยสั้น ทำเพื่อเป็นการพักต้นไปเลยหลังจากนั้น นำมามัดเป็นกำๆ 1 กำ มีอยู่ 7-8 กิ่ง

เมื่อเก็บผลผลิตที่ต้องการหมดคงเหลือแต่ต้นมะกรูด จะพักต้นไว้ประมาณ 4 เดือน เพื่อได้บำรุงต้นให้แตกกิ่งก้านออกมาอีก ในช่วงนี้จะจ้างแรงงานมาทำแปลง ในการพรวนดินรอบๆ ต้น ใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช และนำโคลนที่อยู่ในท้องร่องสวน ขึ้นมากลบบริเวณโคนต้นเพื่อเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นมะกรูด หลังจากนั้น ต้นมะกรูดจะให้ผลผลิตใบได้อีกรอบ ทำหมุนเวียนกันไปจนครบทั้งหมดมะกรูดเชิงการค้านั้น จะมุ่งเน้นเฉพาะการเจริญเติบโตด้านกิ่งใบเป็นหลัก การตัดแต่งเป็นการกระตุ้นให้มีการผลิตาและยังส่งเสริมในด้านการเจริญเติบโต ทางกิ่งใบรวมทั้งระยะปลูกและจำนวต้นที่ปลูกจะต้องมีความเหมาะสมในเรื่องของการดูแลรักษาต้นมะกรูดเพื่อตัดใบขายนั้น ควรจะมีการฉีดพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันรักษาใบให้ดี โดยเฉพาะในช่วงของการแตกใบอ่อนจะพบการระบาดของหนอนชอนใบ แนะนำให้ฉีดพ่นสารโปรวาโด อัตรา 1-2 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) เป็นที่ทราบกันดีว่า สารโปรวาโดเป็นสารในกลุ่มอิมิดาคลอพริดที่ใช้อัตราน้อยที่สุด และเมื่อคำนวณต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสารอิมิดาคลอพริดชนิดอื่นๆ นอกจากนั้น เกษตรกรที่ปลูกต้นมะกรูดจะต้องควบคุมโรคแคงเกอร์ให้ได้ โดยภาพรวมแล้วการปลูกมะกรูดมีการดูแลรักษาที่น้อยกว่าการปลูกมะนาวและพืชตระกูลส้มชนิดอื่นๆ

การเก็บเกี่ยวใบมะกรูดครั้งแรกเมื่อปลูกไปประมาณ 4-6 เดือน จะเริ่มการตัดแต่งกิ่งโดยตัดให้อยู่ในระดับความสูง 60-80 เซนติเมตร จากผิวดิน กำจัดกิ่งที่อยู่ในแนวนอนออกไป ภายหลังการตัดแต่งแล้ว ตาจะเริ่มผลิ ผลจากการศึกษา การผลิตใบมะกรูดควรปฏิบัติดังนี้ กิ่งควรอยู่ในแนวตั้งฉากหรือเกือบตั้งฉาก จะให้จำนวนกิ่ง จำนวนใบต่อกิ่งและขนาดใบที่ใหญ่ ระดับของการตัดแต่ง ไม่ควรตัดแต่งเกินครึ่งหนึ่งของความยาวกิ่ง หากตัดเหลือตอกิ่งมีผลทำให้การผลิตายืดเวลาออกไป ขนาดของกิ่งที่เหมาะสม ควรเป็นกิ่งที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 1 เซนติเมตร.

การบังคับการออกดอก หากปลูกให้ออกดอกตามธรรมชาติแล้ว ก็จะได้ดอกในช่วงฤดูหนาว อายุผลยังไม่ทราบแน่นอน แต่คาดว่าจะใกล้เคียงกับมะนาว คือจากดอกบานถึงเก็บเกี่ยวได้ ประมาณ 4 เดือนครึ่ง อย่างไรก็ตาม จากผลการทดลองใช้สารชะลอการเจริญเติบโตพาโคลบิวทราโซล ร่วมกับการตัดปลายยอดพบว่าสามารถชักนำให้ต้นมะกรูดมีการออกดอกได้ดีมาก โดย ต้นมะกรูดเริ่มออกดอกภายหลังการตัดยอด ประมาณ 90 วัน และมีดอกมากที่สุดในช่วงระหว่าง 100-120 วัน

แนะนำให้เกษตรกรที่จะปลูกมะกรูดในพื้นที่ 1 ไร่

ให้ปลูกด้วยการใช้ต้นมะกรูดเสียบยอดและควรใช้พันธุ์ที่มีขนาดใบใหญ่และผลตะปุ่มตะป่ำ (เสียบบนต้นตอมะนาวพวง รากมะนาวพวงหากินเก่งทำให้ต้นเจริญเติบโตไว) ที่ไม่ส่งเสริมให้ปลูกโดยการใช้กิ่งตอนเนื่องจากเมื่อต้นใหญ่ขึ้นมีโอกาสโค่นล้มได้ง่าย วิธีการเสียบยอดมะกรูดควรใช้วิธีการเสียบแบบผ่าลิ่ม ต้นตอจะใช้กิ่งมะนาวพวงโดยเลือกกิ่งที่มีลักษณะกลางแก่กลางอ่อนที่มีขนาดต้นประมาณแท่งดินสอ (วิธีสังเกตต้นตอที่ดีเปลือกผิวจะมีลายที่ชาวบ้านเรียกว่า "ลายนกคุ้ม" จะดีมาก) สำหรับยอดพันธุ์มะกรูดที่จะนำมาเสียบควรเลือกกิ่งที่มีความสมบูรณ์และใบสวย ขนาดของยอดที่ตัดมาเสียบให้มีความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร และขนาดของยอดควรใหญ่ใกล้เคียงกับต้นตอ ข้อดีของการปลูกต้นมะกรูดที่ได้จากการเสียบยอดแบบผ่าลิ่มคือ ระบบรากจะดีมาก เมื่อแผลจากการเสียบประสานเชื่อมติดสนิทจะเหมือนกับต้นเพาะเมล็ด ต้นจะเจริญเติบโตได้เร็วมาก

ในพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกมะกรูดได้ 400 ต้น โดยใช้พื้นที่ปลูก 2x2 เมตร และแซมด้วยการปลูกกล้วยน้ำว้าเพื่อช่วยเป็นร่มเงาในปีแรก เมื่อต้นมะกรูดมีอายุได้ 1 ปีเต็ม เราจะได้กล้วยต้นละ 1 เครือ เป็นรายได้เสริม ให้โค่นต้นกล้วยทิ้งเมื่อต้นมะกรูดมีอายุเข้าปีที่ 3 เริ่มตัดใบมะกรูดขายได้ทุกๆ 3 เดือน เมื่อคิดเป็นเงินจากการขายใบมะกรูด 70 บาท ต่อต้น ต่อรุ่น จะได้เงิน 28,000 บาท (ใน 1 ปี จะมีรายได้จากการขายใบมะกรูดถึง 112,000 บาท ต่อไร่) สภาพพื้นที่ปลูกควรเลือกสภาพดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำที่ดีและเตรียมแปลงแบบลูกฟูกเพื่อช่วยการระบายน้ำ จุดสำคัญที่สุดของการปลูกมะกรูดเพื่อตัดใบขาย

นั้นจะต้องมีสภาพแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ (ถ้าแหล่งน้ำไม่สมบูรณ์อาจจะตัดใบมะกรูดได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น)สำหรับพื้นที่ที่พบว่ามีลมพัดแรงจำเป็นจะต้องปลูกต้นไม้กันลม เกษตรกรควรจะปลูกต้นสนปฎิพัทธ์ ไผ่รวกหรือไผ่ชนิดอื่นๆ เป็นแนวกันลมก็ได้ หรืออาจจะปลูกกล้วยหินซึ่งจัดเป็นกล้วยท้องถิ่นของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้มีการนำต้นพันธุ์กล้วยหินมาจากไร่ บี.เอ็น ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาปลูกรอบแปลงปลูกไม้ผล ผลปรากฏว่าต้นกล้วยหินซึ่งจัดเป็นกล้วยที่ลำต้นสูงใหญ่ใช้เป็นแนวกันลมได้อย่างดีไม่แพ้ไม้ชนิดอื่นๆ ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับเกษตรกรที่ปลูกกล้วยไข่ว่า ควรจะปลูกกล้วยหินเป็นแนวกันลมล้อมรอบแปลงกล้วยไข่
การตลาดและการจำหน่าย

สำหรับใบมะกรูดที่มีตำหนิโรงงานที่รับซื้อใบและผลมะกรูดก็รับซื้อทั้งหมดเพื่อจะนำไปผลิตเป็นน้ำมันหอมระเหย จะมีการรับซื้อทั้งใบและผลโดยรับซื้อเป็นกิโลกรัม รูปแบบของการรับซื้อจะมีรถพร้อมคนงานไปตัดใบและผลมะกรูดถึงสวน รถปิคอัพแต่ละคันจะต้องตัดใบมะกรูดได้อย่างน้อยวันละ 500 กิโลกรัม

โดยจะเริ่มลงมือประมาณ 9 โมงเช้า-ประมาณบ่าย 2 โมง จะเสร็จเรียบร้อย ขนใบมะกรูดมารวบรวมไว้ในที่ร่มเพื่อเตรียมส่งโรงงานและจะเก็บใบและผลมะกรูดได้ไม่เกิน 3 วัน เจ้าของสวนเพียงแต่นัดวันเวลาให้ไปตัดเท่านั้น ราคารับซื้อถึงสวนถ้าเป็นใบที่สวยจะรับซื้อเฉลี่ยกิโลกรัมละ 7-10 บาท ส่วนใบที่มีตำหนิหรือมีร่องรอยของการทำลายของโรคและแมลง (เช่น หนอนชอนใบ เพลี้ยไฟ และไร เป็นต้น) จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 3 บาท ส่วนของผลมะกรูดจะรับซื้อทั้งหมด (แยกเฉพาะผลเน่าออก) โดยใช้วิธีการเขย่าต้น ในราคาเฉลี่ย

กิโลกรัมละ 3 บาท เช่นกัน ปัจจุบันพื้นที่ปลูกมะกรูดในเชิงพาณิชย์ยังมีน้อยมากและยังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าใบและมะกรูดมีตลาดดีกว่าพืชอีกหลายชนิด และเป็นพืชที่มีการจัดการดูแลรักษาไม่ยุ่งยากเหมือนพืชตระกูลส้มชนิดอื่นๆ แหล่งผลิตใบและผลมะกรูดที่สำคัญในปัจจุบันนี้จะอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดอุทัยธานีเทคนิคสำคัญในการจัดการในแปลงปลูกมะกรูดมีดังนี้ จะใช้ผ้าพลาสติกคลุมแปลงปลูกหรือใช้ฟางข้าวคลุมแปลง เพื่อป้องกันวัชพืชและช่วยรักษาความชื้น หากมีการใช้ผ้าพลาสติกคลุมแปลงแล้ว ระบบการให้น้ำจำเป็นต้องใช้เป็นแบบน้ำหยดที่มีการให้ปุ๋ยไปกับน้ำพร้อมกันด้วย สำหรับแปลงปลูกที่ไม่ได้มีการใช้ผ้าพลาสติกแล้ว ก็สามารถเลือกใช้การให้น้ำระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามความเหมาะสมได้ การให้ปุ๋ย ผลจากการตัดใบมะกรูดนั้นเป็นการนำเอาแร่ธาตุอาหารออกไปจากดินอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นที่จะต้องให้ปุ๋ยชดเชยกลับคืนให้กับต้นดังเดิม ระดับของปริมาณธาตุอาหาร N-P-K ควรมีสัดส่วนประมาณ 5 : 1 : 3 หรือ 5 : 1 : 4 หรือใกล้เคียงกัน

วิธีปักชำกิ่งมะกรูดด้วยต้นตอมะนาวพวง

เตรียมดินเพาะชำโดยใช้ขี้เถ้า 1 ส่วน ดินดำ 2 ส่วน ใส่ถุงดำขนาด 4x7 นิ้ว แต่ต้องเป็นวัสดุที่แห้ง เพราะถ้าเปียกชื้นจะทำให้เกิดเสี้ยนดิน

จัดหากิ่งพันธุ์มะกรูดและกิ่งพันธุ์มะนาวพวง โดยคัดเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ สภาพดี อายุที่เหมาะสม สังเกตจากลายนกคุ้ม คือ มีลายดำแซมยาว และต้องคัดขนาดที่ใกล้เคียงกัน ตัดกิ่งตอมะนาวพวงเป็นท่อนยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ควรทำตำหนิโคนกิ่ง ป้องกันการสับสนในการเสียบยอด ก่อนผ่ากลางที่ปลายกิ่งด้วยมีดที่คมไม่เป็นสนิม ลึกประมาณ 3 เซนติเมตร เฉือนกิ่งมะกรูดที่เตรียมไว้ทั้ง 2 ด้านให้เป็นลิ่ม ขนาดแผลเท่ากับความลึกของแผลต้นตอที่เตรียมไว้ เสียบยอดพันธุ์ดีลงในแผลของต้นตอ ให้รอยแผลตรงกัน แล้วใช้ผ้าพลาสติกพันจากล่างขึ้นบน ให้คลุมแผลจนเต็ม ก่อนพันรัดให้แน่น นำต้นพันธุ์ไปชำในถุงดินที่เตรียมไว้ โดยรดน้ำให้ความชื้นที่พอเหมาะ สังเกตจากการบีบดูไม่ให้แฉะเกินไป ใช้ไม้แทงลงดินก่อนนำต้นพันธุ์ลงชำในถุง นำไปเก็บไว้ในโรงอบพลาสติกไม่ต้องรดน้ำ ทิ้งไว้นาน 60 วัน รอยแผลจะประสานกันดี และนำออกมาพักไว้ในโรงเรือนอย่างน้อย 7 วัน ก็สามารถนำไปปลูกได้ตามปกติ

วิธีทาบกิ่งมะกรูดด้วยต้นตอมะนาวพวง

เตรียมอุปกรณ์และวัสดุ ขุยมะพร้าวที่ร่อนด้วยตะแกรง เพื่อนำใยมะพร้าวออกให้เหลือเฉพาะขุยมะพร้าว นำไปใส่ถุงพลาสติกใส (ถุงใส่ของร้อน) ขนาด 3x5 นิ้ว ก่อนที่จะจัดหากิ่งมะนาวพวง โดยใช้กิ่งที่สมบูรณ์ สภาพดี อายุที่เหมาะสม สังเกตจากกิ่งมีลายนกคุ้ม คือ มีลายดำแซมยาว นำมาตัดเฉียงควรทำตำหนิโคนกิ่ง ป้องกันการสับสนในการปักชำ ความยาวของกิ่งประมาณ 4-5 นิ้ว จุ่มโคนกิ่งด้วยน้ำฮอร์โมนเร่งรากที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้แห้งก่อนที่จะชำลงในถุงขุยมะพร้าวที่มีความชื้นพอประมาณ ทดสอบด้วยการทำให้ขุยมะพร้าวเป็นก้อน แต่ไม่ถึงกับมีน้ำไหลออกตามง่ามนิ้วมือ ผูกปากถุงด้วยเชือกพลาสติก คัดกิ่งมะกรูดเป็นกิ่งพันธุ์ เลือกกิ่งที่สมบูรณ์ไม่มีโรค มีขนาดใกล้เคียงกับต้นตอ

ปาดเฉียงขึ้นบนกิ่งมะกรูดที่ได้เลือกไว้ด้วยมีดที่คมไม่เป็นสนิม ลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร เฉือนต้นตอมะนาวพวงที่เตรียมไว้ให้เป็นปากฉลาม ขนาดแผลเท่ากับความลึกของแผลกิ่งพันธุ์ดีที่เตรียมไว้ เสียบต้นตอลงในแผลของกิ่งพันธุ์ดี ให้รอยแผลตรงกัน แล้วใช้พลาสติกพันจากล่างขึ้นบนให้คลุมแผลจนเต็ม ก่อนพันรัดให้แน่น ทิ้งไว้ประมาณ 45 วัน ต้นตอจะใช้อาหารและน้ำจากต้นของกิ่งพันธุ์ จนเกิดรากเต็มถุง ตัดออกมาใส่ถุงดำ อบไว้ในตู้อบพลาสติกประมาณ 20 วัน จึงนำออกมาไว้ข้างนอกจนกว่ารากจะออกมาให้เห็นนอกถุง ทรงต้นจะสมบูรณ์ ใช้เวลาประมาณเดือนกว่าสามารถจำหน่ายได้ ผลผลิตที่ได้คุ้มค่า คือ ปลูกในระยะชิด 2x2 เมตร ไร่ละ 400 ต้น

หลังปลูก 9 เดือน ผลผลิตไม่เกิน 100 กิโลกรัม จะสามารถตัดใบได้ 3 เดือนต่อครั้ง ตัดครั้งที่ 6 ขึ้นไป ผลผลิตประมาณ 1,000 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งถ้าอายุ 3-4 ปีขึ้นไป จะสามารถตัดใบจำหน่ายได้ต้นละประมาณ 100 บาท ในส่วนของราคา ประมาณ 8 บาท/กก.

การนำไปปลูกต้องรู้ถึงเคล็ดลับการปลูก คือ จะต้องให้หน้าใบหันไปทางแสงแดด ถ้าหันหลังใบจะทำให้ลำต้นบิดไส้ลำต้นแตกต้นจะแคระแกรน ไม่ยอมโต ราคาจำหน่ายที่เรือนเพาะชำต้นละ 25 บาท ถ้าให้ไปปลูกให้ก็ขอเพิ่มอีกต้นละ 5 บาทการปลูกต้นมะกรูดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตใบแล้วควรปลูกในระยะชิดโดยเลือกกิ่งที่ทำมุมในแนวตั้งฉากเพื่อให้ได้ผลผลิตของจำนวนใบที่มากกว่าและขนาดใบที่ใหญ่กว่า โดยที่แต่ละรอบของการผลิตใช้ระยะเวลาตั้งแต่ตัดแต่งจนถึงเก็บเกี่ยวแล้วไม่เกิน 40 วัน เมื่อเป็นดังนี้แต่ละต้นใน 1 ปี จึงสามารถเก็บเกี่ยวใบมะกรูดได้ถึง 9 ครั้ง แต่ถ้าหากสามารถร่นระยะเวลาเหลืองเพียง 30 วันแล้ว ก็จะเพิ่มได้เป็น 12 ครั้งต่อปี40 วัน เมื่อเป็นดังนี้แต่ละต้นใน 1 ปี จึงสามารถเก็บเกี่ยวใบมะกรูดได้ถึง 9 ครั้ง แต่ถ้าหากสามารถร่นระยะเวลาเหลืองเพียง 30 วันแล้ว ก็จะเพิ่มได้เป็น 12 ครั้งต่อปี30 วันแล้ว ก็จะเพิ่มได้เป็น 12 ครั้งต่อปี การเลือกกิ่งที่ยู่ในแนวตั้งตรงซึ่งจะได้ขนาดขอกิ่งและใบที่ใหญ่กว่า ไม่ควรใช้กิ่งในแนวนอน อายุของกิ่งและใบที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อยู่ในช่วงระหว่าง 33 – 40 วันภายหลังการตัดแต่งอายุของกิ่งและใบที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อยู่ในช่วงระหว่าง 33 – 40 วันภายหลังการตัดแต่ง


ไปหน้าแรก  เกษตรพอเพียง


ข้อมูลบางส่วนจาก : http://www.kasetloongkim.com/ www.limejuite.wordpress.com
ข้อมูลบางส่วน : กรมวิชาการเกษตร

ทำเงินล้านกับการปลูกมะระหน้าแล้ง

วันนี้จะนำเรื่องการปลูกมะระช่วงหน้าแล้ง แล้วสามารถทำเงินได้ดีมากๆ มาฝากกัน ถ้าเพื่อนๆ อยากลองทำดู


จังหวัดสุพรรณบุรีนับเป็นแหล่งปลูกผักที่ใหญ่มากของบ้านเรา ผักที่ปลูกก็ค่อนข้างจะหลากหลาย แต่ที่นิยมปลูกกันมากก็คือ มะระ คะน้า มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว ขึ้นช่าย มันเทศ เป็นต้นค่ะ และชาวสาวจะเป็นผู้วางแผนในการปลูกเพื่อให้ได้จังหวะเวลาที่ได้ผลตอบแทนมากที่สุด สวนใหญ่พืชผักมักจะมีราคาแพงช่วงที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำยาก เสี่ยงสูง หากคิดจะเสี่ยงก็ต้องเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างดี หากสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ก็เรียกว่าเกินคุ้ม

พืชที่กล่าวได้ว่าเป็นที่นิยมปลูกกันมากในช่วงหน้าแล้งคือ "มะระ" เพราะถือว่าเป็นจังหวะที่มะระมักมีราคาแพง แต่ก็เป็นช่วงที่ทำยาก เพราะสารพัดปัญหารุ้มเร้า ทั้งมะระไม่โต ไม่ติดผล ผลไม่ดก เพลี้ยไฟเข้าทำลาย ต้นเหลือง แต่คุณ สมชาติ เชื้อฉ่ำหลวง ก็ยอมที่จะเสี่ยง และสามารถที่จะทำสำเร็จมาได้ทุกปี และปีนี้ก็เช่นกัน และราคาก็พุ่งกระฉูดเลยทีเดียว ซึ่งถ้ามีมะระแค่ 10 ไร่ ก็สามารถที่จะสร้างได้ไม่ต่ำกว่าล้านอย่างแน่นอน

เทคนิคการทำให้มะระติดดกในช่วงแล้ง

สำหรับการเลือกมะระของสวนคือ พันธุ์เขียวหยก เบอร์ 16 ของศรแดง ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ตลาดชอบ เพราะสีสวย ทรงผลสวย ให้ผลผลิตดี มะระในช่วงนี้จะเลือกทำค้าง แบบกระโจม เพราะทำง่าย ลงทุนต่ำ การดูแลง่าย ฉีดพ่นสารเคมีง่าย ค้างแบบนี้จะโปร่ง โอกาสที่มะระจะเสียหายน้อยกว่า แต่ถ้าเป็นค้างแบบสี่่เหลี่ยมหรือแบบกล่อง แม้จะได้ผลผลิตยอะกว่าค้างแบบกระโจมเท่าตัว แต่ก็ลงทุนเยอะ ดูแลยาก ฉีดพ่นเคมียาก ค้างแบบกล่องจะทึบ โอกาสที่มะระจะเสียหายสูง การทำค้างแบบกระโจมพื้นที่ 10 ไร่ ลงทุนประมาณ 1.5 แสนบาทรวมทั้งหมด ตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงเริ่มเก็บ ( 2 เดือน) ถ้าคำนวณจนถึงเก็บหมดแปลงก็ประมาณ 2.5-3 แสนบาท แต่ถ้าเป็นค้างแบบกล่องตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงเริ่มเก็บก็ประมาณ 2.5 แสนบาทแล้ว

สำหรับการดูแลมะระจะเริ่มให้ปุ๋ยหลังปลูก 10 วัน จากนั้น อายุ 1 เดือนใส่อีกครั้ง ตอนนี้จะเริ่มจับยอดขึ้นค้างได้แล้ว ช่วงนี้มะระจะเริ่มออกดอกแล้ว หลังจากนั้นจะใส่ปุ๋ยทุกครั้งหลังตัดผลผลิต หรือตัด 2 ครั้ง ใส่ปุ๋ย 1 ครั้ง ให้ปุ๋ยบ่อยแต่ให้ครั้งละไม่มาก ให้มะระได้กินต่อเนื่อง ปุ๋ยให้ครั้งล่ะ 300-350 กก./ไร่ ใช้ 16-16-16 เป็นหลัก และเน้นให้ปุ๋ยทางใบค่อนข้างถี่ ตั้งแต่ช่วงปลูกแรกๆ พอมะระแตกใบมา 4-5 ใบก็เริ่มฉีดพ่นแล้วเพื่อเร่งต้นให้โตเร็ว แตกยอดเลี้อยขึ้นค้างได้เร็ว โดยจะพ่นทั้ง แคลเซี่ยม-โบรอน ธาตุอาหารเสริมเร่งต้น สาหร่ายทะเล อะมิโนแอซิด และเร่งการแตกและขยายของรากด้วย ฮิวมิค ทำให้รากดูดปุ๋ยได้ดี ได้เร็ว ต้นก็โตเร็ว มะระ 1 เดือน เริ่มออกดอกธาตุอาหารทางใบยังพ่นต่อเนื่อง จะช่วยให้มะระออกดอกดี ติดผลดี สาหร่ายทะเลช่วยเปิดตาดอก แคลเซี่ยม โบรอนช่วยให้ดอกแข็งแรง ผสมเกษรได้ดี ติดผลได้ดี 

เมื่อติดลูกแล้วแคลเซี่ยม โบรอนแมกนีเซี่ยมขาดไม่ได้ ช่วยขยากลูก สร้างเนื้อ เลี้ยงต้นด้วย ช่วงนี้อากาศร้อนจัด โอกาสเสียหายเยอะ เพลี้ยไฟก็มักจะลงหนัก ไวรัสลงด้วย ทำให้ต้นเหลืองได้ง่าย ต้องพ่นสารเคมีถี่ทุก 4 วัน เพื่อป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดปัญหา โดยใช้ อิมิดาคลอพริด คารโบซัลแฟน ไดอะซีนอน ไดโคลโฟล พ่นสลับกันไป เชื้อราแม้ช่วงร้อนไม่เยอะแต่ต้องฉีดไว้ก่อนโดยใช้ เฮดไลน์ แมนโคเซ็บ พอช่วงฝนจะเน้นเชื้อรามากขึ้น แมลงลดลง การให้นช่วงนี้ก็ต้องระวังอย่าให้แฉะเกิดนไป รดน้ำก็รดเช้าๆ ไม่ให้เย็นมากเพราะถ้าแปลงยังไม่แห้งเชื้อราจะเข้าง่าย เรียกว่าดูแลกันอย่างละเอียดและใส่ใจจึงจะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี

มะระราคาพุ่ง กก.ละ 26-30 บาท 10 ไร่ ทำเงินได้หลักล้าน

มะระจะเริ่มตัดมีดแรกได้ประมาณ 60 วัน หลังเพาะเมล็ด จากนั้นจะตัดทุก 3 วัน ช่วงมีดที่ 1-5 มะระจะยังตัดได้ไม่มากเพราะมะระยังโตไม่เต็มที่ ยังไม่เต็มค้าง มะระจะดกมากในมีที่ 7-10 และจะดกไปจนถึงมีดที่ 15 จากนั้นก็จะเริ่มลดลง ถ้าบำรุงดีๆ จะสามารถเก็บได้ถึง 20-25 มีด ช่วงที่มะระดกๆ จะเก็บวันเว้นวัน ช่วงมีดแรกๆ จะเก็บวันเว้น 2 วัน ช่วงแรก มีดที่ 1-4 ผลผลิตยังน้อย เพียง 500 กก./ครั้ง ช่วงดกๆ น่าจะได้ถึง 3 ตันกว่า

ส่วนราคาวันนี้มะระมีดแรกๆ ผลยังไม่สวย ยังไม่ค่อยได้ทรง ขนาดเบอร์ไม่สวยยังราคา 24 บาท/กก. มะระจะเริ่มสวยในมีดที่ 4-5 ตอนนี้เบอร์สวยๆ ราคา 26 บาท/กก. หรือถุงล่ะ (10 บาท.) 130 บาท เบอร์กลางถึงล่ะ 80-90 บาท มะระเกรดเอความยาวของผลประมาณ 1 ฟุต ต่ำลงมาก็จะเป็นเกรด บี คุณสมชาติบอกว่า มะระราคาแพงสุดๆ จะขึ้นไปถึงถุงล่ะ 170 บาทหรือ กก.ล่ะ 35 บาท ไม่เกินนี้ ราคานี้เป็นราคาทึ่ตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งคุณสมมชาติจะนำมะระไปขายเอง ไม่ส่งผ่านแม่ค้าเพราะจะได้ราคาสูงกว่าที่แม่ค้ามารับประมาณ 5-6 บาท/กก. เลยทีเดียว คุณสมชาติประเมินว่าถ้ามะระราคาอย่างนี้ เก็บผลผลิตหมดแปลงน่าจะเงินไม่ต่ำกว่า 1 ล้าน ถ้าราคาช่วยก็อาจจะถึง 1.5 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนน่าจะอยู่ที่ 2-2.5 แสนบาทเท่านั้น เห็นอย่างนี้แล้วคงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมคุณสมชาติจึงเลือกที่จะปลูกมะระช่วงราคาแพง และเขาก็สามารถฝ่าด่านของอุปสรรคมาได้ทุกรุ่นด้วยฝีมือจริงๆ

เทคนิคการห่อผลมะระ

เมื่อมะระอายุได้ 40 วัน จะออกดอกและติดผลจนลูกโตขนาดนิ้วก้อย ก็เริ่มห่อผลได้ทันที โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ทำเป็นถุงขนาด 15×20 เซนติเมตร ปากถุงเปิดทั้งสองด้าน นำปากถุงด้านหนึ่งสวมผลมะระ แล้วใช้ไม้กลัด ๆ ปากถุงให้แขวนอยู่บนก้านของผลมะระ การห่อผลจะช่วยไม่ให้มะระถูกรบกวนจากแมลง ศัตรูพืชมากนัก และยังทำให้ผลมีสีเขียวอ่อนน่ารับ

การเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์

เริ่มด้วยการคัดเลือกต้นมะระในแปลงปลูกที่เจริญงอกงามแข็งแรง ให้ผลรุ่นแรกมีลักษณะดีตรงตามพันธุ์ไว้หลาย ๆ ต้น กะให้ได้เมล็ดพันธุ์พอปลูกในปีหน้า เมื่อดอกตัวเมียและตัวผู้ของต้นที่เลือกไว้
เป็นต้นแม่พันธุ์ใกล้จะบาน หาถุงกระดาษบางขนาดโตกว่าดอกนิดหน่อยมาสวมไว้ รุ่งขึ้นดอกจะบาน เด็ดดอกตัวผู้มาครอบดอกตัวเมียแล้วเคาะเบา ๆ ให้ละอองเกสรหล่นลงไปบนดอกตัวเมีย แล้วเอาถุงกระดาษสวมไว้ตามเดิม ทิ้งให้ผลสุกจึงเด็ดไปผ่าเอาเมล็ดออกล้างน้ำตากแดดจนแห้งสนิท เก็บไว้ทำพันธุ์ต่อไปได้ประทานด้วย

ไปหน้าแรก  เกษตรพอเพียง


ฤดูปลูกข้าวโพด ที่เหมาะสมและให้ผลผลิตดี


ฤดูปลูกข้าวโพด "ข้าวโพด"เป็นพืชไร่ที่ค่อนข้างทนทานและปลูกง่าย ในสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองไทย ถ้ามีน้ำเพียงพอ จะสามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดทั้งปี การปลูกส่วนใหญ่อาศัยน้ำจากน้ำฝนธรรมชาติเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ฤดูปลูกข้าวโพดที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่ กับจำนวนน้ำฝนและการกระจายตัวของฝนในแต่ละเดือนนั่นเอง 

ปกติเฉลี่ยโดยทั่ว ๆ ไป ฝนจะเริ่มตกมากตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤศจิกายน และระหว่างสิงหาคม-กันยายน เป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุด พันธุ์ข้าวโพดที่นิยมปลูกกันอยู่ในปัจจุบันมีอายุปานกลาง คือ ประมาณ ๑๑๐-๑๒๐ วัน ดังนั้น จึงอาจเลือกปลูกข้าวโพดได้ตามความเหมาะสม ถ้าปีใดมีฝนตกสม่ำเสมอแต่ต้นปี อาจปลูกข้าวโพดได้ ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกปลูกในระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และครั้งที่สองปลูกระหว่างเดือนกรกฎาคม-กลางเดือนสิงหาคม พวกที่ปลูกต้นฤดูฝนโดยทั่ว ๆ ไป มักได้ผลิตผลสูงกว่าพวกที่ปลูกปลายฤดูฝน ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณน้ำฝนกำลังพอเหมาะและโรคแมลงรบกวนน้อย แต่มีข้อยุ่งยากในการเก็บเกี่ยว ไม่สะดวกแก่การตากข้าวโพด เนื่องจากฝนตกชุก

ข้าวโพด เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดปีถ้าไม่มีปัญหาเรื่องนํ้า แต่โดยทั่วไปเกษตรกรไทยปลูกข้าวโพดโดยอาศัยนํ้าฝนเป็นหลัก ดังนั้นฤดูปลูกโดยทั่วไปในประเทศไทย มี 2 ฤดู คือ

1. ปลูกต้นฤดูฝน เริ่มประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม ขึ้นอยู่กับการตกและการกระจายของ ฝนในท้องถิ่น เกษตรกรนิยมปลูกข้าวโพดต้นฤดูฝน เนื่องจากได้ผลผลิตสูงกว่า ไม่มีโรครานํ้าค้างระบาด

พันธุ์สุวรรณ 2602 เทียบกับสุวรรณ 1 ทำความเสียหาย รวมทั้งปัญหาวัชพืชรบกวนน้อยกว่าปลูกปลายฤดูฝน แต่จะมีปัญหาจากสารพิษ อะฟลาท้อกซิน

2. ปลูกปลายฤดูฝน เริ่มประมารเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม การปลูกในฤดูปลายฝนนี้ ต้องใช้ พันธุ์ที่ต้านทานต่อโรครานํ้าค้าง เพราะเป็นฤดูปลูกที่โรครานํ้าค้างระบาดทำ ความเสียหายให้แก่ข้าวโพด

มากอย่างไรก็ตามข้าวโพด ที่เก็บได้จากการปลูกต้นฤดูฝนคุณภาพของเมล็ดตํ่า ทั้งนี้เพราะเมล็ดเก็บ เกี่ยวที่ความชื้นสูง ทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งสร้างสารพิษ อะฟลาท้อกซิน ทำให้เมล็ดข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวจากการปลูกต้นฤดูฝน มีสารพิษนี้ในปริมารสูง จนก่อให้เกิดปัญหาการรับซื้อจากตลาดต่างประเทศ ส่วนเมล็ดข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวจากการปลูกปลายฤดูฝน ไม่มีปัญหาเรื่องสารพิษอะฟลาท้อกซิน ถ้ามีก็น้อยเพราะการเก็บเกี่ยวกระทำ ในขณะที่ความชื้นในอากาศตํ่า

ไปหน้าแรก เกษตรพอเพียง


การปลูกพริกขี้หนู พืชมหัศจรรย์ปลูกได้ตลอดปี

พริกขี้หนูสามารถปลูกได้ดีในดินแทบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสม ที่สุดคือดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรด เป็นด่าง ของดิน 6.0-6.8 ปลูกได้ตลอดปี พริกขี้หนูเป็นพืช ที่ใช้ส่วนของผลบริโภคในรูปของพริกสด และพริกแห้ง สามารถใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด มีรสเผ็ด

การปลูกพริกขี้หนู

การเตรียมดินเพาะกล้าพริกขี้หนู

ใช้จอบขุดหน้าดินลึก 15-20 เซนติเมตร ทำแปลงขนาดกว้าง 1 เมตร ความยาวตามความ เหมาะสมของพื้นที่ ผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก คลุกเคล้ากับดิน ขุดหลุมปลูกโดย ใช้ระยะห่าง ระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ระหว่างแถว 70-80 เซนติเมตร ควรรองกันหลุม ด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตราหลุมละ 1/2 ช้อนชา ทับหน้าปุ๋ยเคมี ด้วยปุ๋ยคอกหลุมละ 1 กะลามะพร้าว แล้วถอนแยกต้น กล้าลงปลูก หลุมละ 1 ต้น แล้วรดน้ำตามให้ชุ่ม

การดูแลรักษาพริกขี้หนู

การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 1 ช้อนชาต่อต้นทุกๆ 15-20 วัน โดยโรยห่างโคนต้น 5 เซนติเมตร และรดน้ำตามทันที หรือจะใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์น้อยลงก็ได้

การให้น้ำ ควรให้น้ำพริกขี้หนูสม่ำเสมอทุกวัน อย่าให้ขาดน้ำโดยเฉพาะช่วงแรกหลังย้ายปลูก
การพรวนดินกำจัดวัชพืช ควรพรวนดินและกำจัดวัชพืชในระยะแรกอย่าให้วัชพืชรบกวน เพราะวัชพืชจะแย่งอาหารได้

การเก็บเกี่ยว พริกขี้หนู เป็นพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวได้หลังย้ายลงปลูก 60-90 วัน การเก็บควรเก็บทุกๆ 5-7 วัน โดยใช้วิธีเด็ดทีละผล อย่าเก็บทั้งช่อ เพราะผลในแต่ละช่อแก่ไม่พร้อมกัน พริกขี้หนูสามารถเก็บได้ยาวนานถึง 6 เดือน

ไปหน้าแรก  เกษตรพอเพียง


การปลูกถั่วฝักยาวไร้ค้าง

ถั่วฝักยาวไร้ค้าง คือถั่วฝักยาวชนิดหนึ่งที่ ถูกปรับปรุงพันธุ์ การจนกระทั่ง ไม่จำเป็นต้องการ ใช้ค้างในการปลูก จุดประสงค์ที่สำคัญ ก็คือ ลดค่าใช้จ่าย ในส่วนของการ ทำค้างให้ถั่วฝักยาว และความสะดวก ในการปลูกถั่วชนิดนี้


ถั่วฝักยาวไร้ค้างพันธุ์ มข. 25 ได้รับการปรับปรุงขึ้นที่คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในปี พ.ศ. 2525 โดยเกิดจากการผสมระหว่างถั่วพุ่มกับถั่วฝักยาว มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ มี ลำต้นตั้ง แข็งแรง ฝักยาว ไม่ต้องใช้ค้าง สามารถเจริญได้ดีในดินร่วนปนทราย อากาศร้อน ต้องการแสงแดด ส่องตลอดทั้งวัน ถ้าปลูกในร่มหรืออากาศ เย็นในเดือน กรกฎาคม ลำต้นจะเลื้อยเล็กน้อย สามารถปลูกได้ทุกฤดู แต่การเจริญเติบโต จะหยุดชะงักเมื่ออากาศเย็น ถั่วนี้สามารถทนอากาศร้อน และแห้งแล้งได้ ดีกว่า ถั่วฝักยาวธรรมดา

การเตรียมดินปลูกถั่วฝักยาวไร้ค้าง

ดินที่เหมาะสม คือ ดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดี มีธาตุอาหารเช่น ฟอสฟอรัสและ โปแตสเซียม อยู่อย่างเพียงพอ มีระดับความเป็นกรด-ด่าง (พี.เอช) อยู่ระหว่าง 5-6.5 เตรียมดินเหมือนกับการปลูกพืชผักทั่ว ๆ ไป คือมีการไถตากดินทิ้งไว้เพื่อให้วัชพืชตายแล้วจึงไถพรวนให้ร่วนซุย
ก่อนการเตรียมดินครั้งสุดท้ายควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12 อัตรา 20 กก./ไร่ และใส่อีกครั้ง 10 กก./ไร่ เมื่อปลูกได้ 3 สัปดาห์ ถ้าดินเป็นกรดมากควรใส่ปูนขาวประมาณ 80 กก./ไร่ โดยหว่านก่อนการไถพรวน

การปลูกถั่วฝักยาวไร้ค้าง

ควรปลูกเป็นแถวเพื่อสะดวกในการดูแลรักษาและเก็บฝักสด ใช้ระยะแถว 50 ซม. ระยะต้น 30 ซม. หยอดหลุมละ 1-2 เมล็ด แล้วถอนแยกให้เหลือหลุมละ 1 ต้น (ห้ามเอาไว้เกิน 1 ต้นเป็นอันขาด หลังจากปลูกได้ 15 วัน ถ้าไม่ถอนแยก จะทำให้ลำต้นไม่ ค่อยแข็งแรง และเมื่อมีลมพัดลำต้น จะเสียดสีกันทำให้เกิดแผลและเน่าตายในที่สุด)

อัตราเมล็ดพันธุ์และความลึกในการหยอดถั่วฝักยาวไร้ค้าง
- ถ้าปลูกระยะ 30×50 ซม. จะใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 3 กก./ไร่
- ถ้าปลูกระยะ 20×50 ซม. จะใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 3.5 กก./ไร่

ถ้าดินปลูกเป็นดินเหนียวควรปลูกตื้นกว่าดินทราย ถ้าดินมีความชื้นพอดีควรปลูกลึกประมาณ 2-3 ซม. ก็พอ ถ้าดินมีความชื้นต่ำ อาจปลูกลึก 3-5 ซม. จึงจะทำให้เมล็ดงอกได้ดี
การดูแลรักษาถั่วฝักยาวไร้ค้าง

การให้น้ำ จะให้น้ำก่อนปลูก หรือหลังปลูกก็ได้ อย่าให้น้ำจนเปียกแฉะเพราะอาจทำให้เกิดโรคโคนเน่า หรือรากเน่าได้ การให้น้ำแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับความชื้นในดิน ถ้าดินมีความชื้นอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ

แมลงที่สำคัญ คือ เพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นพาหะนำโรคใบด่าง (ไวรัส) จะสังเกตได้ง่ายถ้าปรากฏว่ามีมดดำ หรือมดคันไฟ ไต่อยู่ในแปลงหรือตามต้นถั่วแสดงว่าเพลี้ยอ่อนจะเริ่มมา ให้รีบพ่นสารเคมีก่อนที่เพลี้ยอ่อนจะปรากฏ เพราะถ้าเพลี้ยอ่อนมาดูดน้ำเลี้ยงก็จะปลดปล่อยเชื้อไวรัสที่อยู่ในต่อมน้ำลายได้กับถั่วฝักยาว ทำให้ต้นพืชหยุดชะงักการเจริญเติบโต

การใส่ปุ๋ย
ควรใส่ปุ๋ย 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่เมื่อเตรียมดินปลูก อัตรา 20 กก./ไร่ และครั้งที่ 2 ใส่เมื่อปลูกได้ 3 สัปดาห์ การใส่ครั้งที่ 2 ควรเปิดร่องห่างต้น 15-20 ซม. ใช้สูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12 อัตรา 40 กก./ไร่ โดยโรยลงไปในร่อง แล้วกลบ พร้อมกับการกลบโคนถั่วฝักยาวไร้ค้าง เพื่อป้องกันต้นล้ม

การกำจัดวัชพืช
หลังปลูกให้ฉีดสารป้องกันวัชพืชแลสโซก่อนงอกจะป้องกันได้ 2-3 สัปดาห์ โดยใช้อัตรา 450 ซีซี ผสมน้ำ 60 ลิตร พ่นหลัง ปลูก ในขณะดินยังมีความชื้นอยู่ ส่วนการกำจัดวัชพืชหลังงอกให้ใช้การตายหญ้าด้วยจอบ ควรระวังอย่าให้จอบ หรือเครื่องมือ ที่ใช้ถูกลำต้น เพราะจะทำให้ลำต้นเป็นแผลและเน่าตายในที่สุด

การเก็บเกี่ยว
ถั่วฝักยาวไร้ค้าง สามารถเก็บฝักสดครั้งแรกได้ เมื่ออายุ 42-45 วัน หลังปลูกและจะเก็บได้เรื่อย ๆ ทุกๆ 5-7 วัน หลังจาก เก็บฝักสด ชุดแรก ควรพ่นสารป้องกันแมลงและหนอนมาเจาะทำลายต้นและดอกถั่วไร้ค้างสามารถเก็บผลผลิตได้ 3-4 ครั้ง เมื่อเก็บฝักหมดควรไถกลบ เพื่อให้เป็นปุ๋ยบำรุงดินได้อีก

โรค-แมลงศัตรูที่สำคัญของถั่วฝักยาวไร้ค้าง

โรค ที่พบคือ โรคโคนเน่า และ ฝักเน่า การป้องกันใช้ เบนแลท อัตรา 6-8 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นพร้อมสาร ฆ่าแมลง หรือ ใช้คลุกเมล็ดก่อนปลูกก็ได้ อย่าให้แปลงมีน้ำหรือชุ่มมากเกิน
แมลง เพลี้ยอ่อน หนอนชอนใบ หนอนม้วนใบหนอนเจาะฝัก ทำความเสียหายอยู่เป็นระยะ ๆ ควรป้องกันตั้งแต่ถั่วอายุ 7-10 วัน ใช้อะไซดรินพ่นป้องกันเพลี้ยอ่อนและแมลง ต่าง ๆ หลังจากนั้นควรฉีดพ่นทุก ๆ 10-14 วัน ตามความจำเป็น เมื่อถั่วเริ่ม ออกดอกและพบว่ามีผีเสื้อตัวเล็ก ๆ ลายน้ำตาลมาบินอยู่ในแปลงควรฉีดพ่นอีก 1 ครั้ง ก่อนเก็บเกี่ยวไม่ควรฉีดพ่นสารฆ่าแมลง หากจำเป็นต้องใช้ควรใช้สารประเภทถูกตัวตาย เช่น คาราเต้ แทน

การคัดเลือกและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์

เมื่อต้องการเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ ควรเลือกจากต้นที่มีลำต้นทรงพุ่มเป็นฝักยาวเพื่อเอาเมล็ดทำพันธุ์ปลูกต่อไป การปลูกเพื่อ เก็บเมล็ดพันธุ์ ควรปลูกในช่วงปลายสิงหาคม-กลางกันยายน จะได้เมล็ดพันธุ์ดีไม่เชื้อราเจือปน หรือช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ จะได้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีและผลผลิตสูงกว่าปลูกฤดูอื่น ๆ

เมื่อเก็บมาแล้ว ควรตากแดด 3-4 แดด ให้แห้งสนิท ระหว่างที่ตากจะมีมอดมาวางไข่ไว้ตามผิวของเมล็ด ไข่จะมีสีขาว คล้าย จุดเล็ก ๆ ซึ่งฟักตัวกลายเป็นหนอนภายใน 24 ชั่วโมง ตัวหนอนจะเจาะกินเข้าไปในเมล็ด ดังนั้นหลังจากตากแดด จนแห้งสนิท ควรคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารกันแมลง แล้วจึงนำไปเก็บไว้ในถังที่มีฝาปิดมิดชิด หรือถุงพลาสติกปิดปากให้แน่น แล้วเก็บในที่ เย็นและมีอากาศแห้งต่อไป

ไปหน้าแรก เกษตรพอเพียง


บทความจาก http://www.vegetweb.com ภาพประกอบจาก http://www.nanagarden.com/ถั่วฝักยาวไร้ค้าง-106199-4.html

แปรรูป 'น้ำว่านหางจระเข้' สร้างเงิน โอท็อป 5 ดาวฝีมือชาวบ้านหลักสอง

เกือบ 20 ปีที่ชาวบ้านในตำบลหลักสอง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ได้รวมกลุ่มแก้ปัญหาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรตกต่ำ ด้วยการนำแปรรูปเพิ่มมูลค่า โดยไม่ง้อพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป โดยเฉพาะว่านหางจระเข้นั้น ถือผลผลิตทางการเกษตรที่ชาวบ้านปลูกกันมากไม่แพ้ไม้ผลชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าวน้ำหอม มะม่วง ฝรั่ง ลำไย หรือกล้วยหอมทอง


แต่ทว่าว่านหางจระเข้ กลับเป็นผลผลิตตัวเดียวที่มีปัญหา เนื่องจากมีปริมาณที่มากเกินความต้องการของตลาด ส่งผลให้พ่อค้าปฏิเสธการรับซื้อหรือซื้อได้ในราคาต่ำกว่าควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวบ้านจึงคิดหาทางออกด้วยการรวมกลุ่มแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำว่านหางจระเข้ขึ้นเมื่อปี 2539 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2538 โดยเริ่มจากสมาชิกเพียง 4-5 คนมาทำการแปรรูปภายใต้ยี่ห้อ "เพชรน้ำหนึ่ง"

"นอกจากไม้ผลแล้ว ว่านหางจระเข้ก็เป็นพืชอีกชนิดที่ชาวบ้านปลูกกันมาก เพราะจะใช้พื้นที่ปลูกไม่มาก แค่งานสองงาน บางรายก็ 1-2 ไร่แล้วแต่ใครมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหน บางคนก็ปลูกตามรั้วบ้าน เพราะเป็นพืชที่ใม่ใช่ทำรายได้หลัก ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากการปลูกไม้ผล บ้านแพ้วถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีเขียว ที่นี่จึงเต็มไปด้วยสวนไม้ผลชนิดต่างๆ เต็มไปหมด"

สุดาทิพย์ มีแสงเงิน ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านหลักสอง ต.หลักสอง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำว่านหางจระเข้สำเร็จรูปบรรจุขวด ยี่ห้อ "เพชรน้ำหนึ่ง" การันตีด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์โอท็อป 5 ดาวปีล่าสุด (2556) ย้อนอดีตที่มาก่อนจะเป็นน้ำว่านหางจระเข้สำเร็จบรรจุขวดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้สมาชิกกลุ่มเดือนละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท

สุดาทิพย์ เล่าว่า ในระยะแรกจะทำกันเองในหมู่มวลสมาชิก โดยได้รับการสนับสนุนจาก กศน.สมุทรสาคร ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกอบรมให้ จากนั้นก็ฝึกทดลองทำ ลองผิดลองถูก จนได้รสชาติเป็นที่พอใจก็เริ่มทดลองจำหน่ายกันเองในชุมชน ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีมาก จากนั้นก็มีหน่วยราชการต่างๆ เข้ามาให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทสาคร มาดูแลเรื่องการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กรมการพัฒนาชุมชนเข้ามาส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ สาธารณสุขจังหวัดก็มาดูในเรื่อง อย. ส่วนธ.ก.ส.ก็สนับสนุนในเรื่องแหล่งทุน

"กลุ่มได้จดทะเบียนเป็นวิสากิจชุมชนเมื่อปี 2548 เริ่มมีหน่วยราชการต่างๆ เข้ามาดูแลให้คำปรึกษาแนะนำและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งพาไปศึกษาดูงาน จัดสรรงบประมาณก่อสร้างโรงงานผลิต ตรวจสอบขั้นตอนการผลิตตั้งแต่แปลงปลูกจนถึงมือผู้บริโภค จะต้องได้คุณภาพและมาตรฐานในทุกขั้นตอนการผลิต"

ประธานกลุ่มคนเดิมแจงรายละเอียดถึงขั้นตอนการผลิต โดยเริ่มจากรับซื้อว่านหางจระเข้จากสมาชิกในเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 120 รายในราคากิโลกรัมละ 4 บาท โดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2-3 ก้านต่อกิโลกรัม จากนั้นนำมาล้างทำความสะอาด ก่อนนำไปปอกเปลือกออกเหลือแต่เนื้อว่านหางจระเข้ มีสีขาวใส เสร็จแล้วก็นำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ ด้วยเครื่องหั่น ก่อนจะนำมาล้างทำความสะอาดอีกครั้งแล้วนำไปลวกในน้ำเดือดที่ 80-100 องศาเซลเซียส แล้วใช้ตะแกรงตักขึ้นมาใส่ลงในน้ำเชื่อมที่เตรียมเอาไว้ ก่อนนำไปบรรจุขวด จากนั้นก็สู่ขั้นตอนการน็อกดาวน์ด้วยความเย็น-50 องศาเซลเซียสเพื่อฆ่าเชื้อโรค ก่อนนำมาจำหน่ายหรือส่งให้ลูกค้าต่อไป

"ถ้าเราอยากได้รสชาติอะไรก็ใส่น้ำอันนั้นผสมลงไปในน้ำเชื่อม ซึ่งตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของเรามีอยู่หลายรสชาติ น้ำใบเตยถือเป็นรสชาติดั้งเดิมที่เริ่มทำมาตั้งแต่แรก ถึงวันนี้ก็ยังได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีน้ำเก๊กฮวย น้ำองุ่น น้ำอัญชัญและน้ำมะนาวที่ปัจจุบันเราผลิตส่งให้ลูกค้า ส่วนตลาดมีทั้งผลิตเป็นน้ำว่านสำเร็จรูปส่งให้ลูกค้าไปปิดยี่ห้อเอง  ส่วนที่กลุ่มผลิตและขายเองจะใช้ยี่ห้อ "เพชรน้ำหนึ่ง" มีวางขายตามร้านเซเว่น หรือตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป"

สุดาทิพย์ย้ำด้วยว่า น้ำว่านหางจระเข้บรรจุขวดสำเร็จรูปของกลุ่มเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขสภาพไม่ใส่สารกันบูด จะมีอายุการเก็บรักษาไม่เกินสองสัปดาห์  โดยสนนราคาส่งจำหน่ายขวดละ 8 บาท มีน้ำหนัก 210 ซีซี หรือโหลละ 80 บาท ซึ่งปัจจุบันกลุ่มมีการผลิตอยู่ที่ 1 หมื่นขวดต่อวัน ในขณะที่กำลังการผลิตเต็มที่อยู่ที่ 2 หมื่นขวดต่อวัน โดยการผลิตแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับออเดอร์ที่สั่งเข้ามาและวัตถุดิบในการผลิตเป็นหลัก

น้ำว่านหางจระเข้สำเร็จรูปบรรจุขวดของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านหลักสอง ต.หลักสอง อ.บ้านแพ้ว จ.สมทุรสาคร ไม่เพียงเป็นผลิตภัณฑ์เด่น การันตีด้วยรางวัลโอท็อป 5 ดาวเท่านั้น แต่เป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของผู้บริโภคที่สร้างงานสร้างรายได้ให้สมาชิกได้เป็นอย่างดี สนใจผลิตภัณฑ์เด่นติดต่อประธานกลุ่มโดยตรงโทร.08-9024-8295 ได้ตลอดเวลา

ไปหน้าแรก  เศรษฐกิจพอเีพียง


บทความโดย...สุรัตน์ อัตตะ

'ข้าวซ้อมมือ'บ้านบุหย่องสามัคคี จากภูมิปัญญาสู่คุณค่าโภชนาการ

อดีตผู้ใหญ่บ้านยอดเยี่ยมแหนบทองคำปี 2546 ที่ไม่ยอมทิ้งภูมิปัญญาท้องถิ่น นำมาแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ด้วยการรวมกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่บ้านบุหย่องสามัคคี ซึ่งมีอาชีพหลักในการทำนาหันมาแปรรูปข้าวซ้อมมือบรรจุถุงเพิ่มมูลค่า โดยไม่ง้อพ่อค้าคนกลางหรือโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลสำหรับ "อุบล ชะบาทอง" อดีตผู้ใหญ่บ้านที่ปัจจุบันผันตัวเองมารั้งตำแหน่งประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบุหย่องสามัคคี หมู่ 7 ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวซ้อมมือบรรจุถุงตราครกกระเดื่อง


"ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลักคือการทำนาปลูกข้าว ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 แต่ที่ผ่านมาเจอปัญหาราคาข้าวตกต่ำมาตลอด ขายไม่ได้ราคา ถูกพ่อค้า เจ้าของโรงสีกดราคา ก็เลยหาทางออกด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวซ้อมมือบรรจุถุงขายในนามกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบุหย่องสามัคคี เมื่อปี 2544 หรือกว่า 12 ปีมาแล้ว" อุบลย้อนที่มา

โดยเริ่มต้นจากสมาชิกเพียง 20 คนที่ลงทุนซื้อหุ้น หุ้นละ 100 บาท จากนั้นก็ได้รับการอนุเคราะห์จากหน่วยราชการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือดูแล โดยเฉพาะ ธ.ก.ส.จังหวัดนครนายกได้เข้ามาสนับสนุนด้านเมล็ดพันธุ์ข้าว กระบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ตลอดจนดูแลในเรื่องการตลาดมาโดยตลอด ซึ่ง สกต.จ.นครนายกได้อนุเคราะห์ให้ผลิตภัณฑ์ข้าวซ้อมมือบรรจุถุงของกลุ่มไปวางจำหน่ายที่สำนักงานได้ ส่วนวิทยาลัยเทคนิคนครนายกได้สนุบสนุนเครื่องคัดแยกข้าวสารมาให้ด้วย

ประธานกลุ่มคนเดิมเผยอีกว่า ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 80 ราย มีเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 52,900 บาท ส่วนการดำเนินงานมีการบริหารจัดการในรูปของคณะกรรมการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่การหาซื้อวัตถุดิบ โดยจะรับซื้อจากสมาชิกเป็นอันดับแรก หากไม่เพียงพอก็จะหาซื้อจากเกษตรกรทั่วไปสนนในราคาเฉลี่ย 1.3-1.5 หมื่นบาทต่อเกวียน ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการผลิตและจำหน่ายต่อไป

ปัจจุบันกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบุหย่องสามัคคีรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 10 กว่าเกวียนต่อปี จากนั้นนำไปแปรรูปเป็นข้าวซ้อมมือบรรจุถุง เริ่มจากถุงละ 5 กิโลกรัมแล้วเปลี่ยนมาเป็นถุงละ 2 กิโลกรัม เนื่องจากพกพาได้สะดวกกว่าและเหมาะเป็นของฝากของขวัญ สนนในราคาจำหน่าย(ราคาส่ง) ถุงละ 85 บาท ซึ่งขณะนี้ผลิตภัณฑ์มีจำหน่ายอยู่ที่ร้านค้า สกต.นครนายก และกรุงเทพฯ อีกทั้งยังบริการจัดส่งในต่างจังหวัดตามที่ลูกค้าต้องการอีกด้วย

อุบลอธิบายถึงกระบวนากรผลิตข้าวซ้อมมือบรรจุถุงว่า หลังจากรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาแล้วนำมาตากแดดประมาณ 3 แดด จากนั้นจึงนำมาเข้าเครื่องกะเทาะเปลือกเสร็จแล้วก็นำมาคัดแยกเปลือกกับข้าวสาร จากนั้นก็นำมาเข้าตำด้วยครกกระเดื่อง ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีแล้วก็นำมาร่อนเอาแกลบออกแล้วนำข้าวสารที่ยังมีส่วนผสมกับข้าวเปลือกไปเข้าเครื่องกะเทาะเปลือกอีกครั้ง ก่อนเข้ากระบวนการผลิตแบบเดิมอีกครั้งแล้วนำมาบรรจุถุงเพื่อจำหน่ายต่อไป โดยข้าวซ้อมมือแต่ละถุงจะมีอายุไม่เกิน 2 เดือน

"ทุกอย่างจากข้าวเราจะนำมาใช้ประโยชน์ทั้งหมด ข้าวก็นำมาบรรจุถุง ฟางข้าวหลังเก็บเกี่ยวก็นำมามัดก้อนขาย แกลบก็นำไปเลี้ยงหมูหลุม ทำปุ๋ยอินทรีย์ รำข้าวก็นำไปเป็นอาหารเป็ด อาหารไก่ที่เลี้ยงไว้ แล้วจุดเด่นผลิตภัณฑ์อยู่ที่ครกกระเดื่องตำข้าว ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวนาในสมัยก่อนมาใช้ตรงนี้ จึงนำมาเป็นตราผลิตภัณฑ์ ตรงนี้เองที่ต่างจากกลุ่มผลิตข้าวกล้องอื่นที่ที่ส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักรในการผลิต ทำให้คุณค่าทางโภชนาการหายไป" ประธานกลุ่มคนเดิมกล่าวอย่างภูมิใจ

นับเป็นก้าวของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านบุหย่องสามัคคีในการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ในการผลิตข้าวซ้อมมือบรรจุถุง นอกจากจะเป็นการสร้างอาชีพและรายได้เสริมให้สมาชิกกลุม่แล้ว ยังเป็นผลิตภัณฑ์เด่นการันตีด้วยรางวัลโอท็อป 4 ดาวของ จ.นครนายก ในปี 2554 อีกด้วย สนใจข้าวซ้อมมือหอมมะลิบรรจุถุงหรือต้องการศึกษาดูงานกรี๊งกร๊างมาที่ 08-9663-4206 ผู้ใหญ่อุบลยินดีต้อนรับตลอดเวลา



บทความโดย...สุรัตน์ อัตตะ

ปลูกมันสำปะหลังอย่างไรให้ได้ไร่ละ 30 ตัน

หากดูข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า การผลิตมันสำปะหลังในประเทศไทยฤดูกาลเพาะปลูกปี 21555/2556 ในพื้นที่  7.911 ล้านไร่ ได้ผลผลิต 28.28 ล้านตัน ในปี 2557 คาดว่าจะได้ผลผลิต 28.75 ล้านตันจากพื้นที่ปลูก 7.98 ล้านไร่ เฉลี่ยได้ผลผลิตไร่ละ 3.5 ตัน แต่สำหรับมันสำปะหลังที่ปลูกในไร่ "สวนเขาใหญ่ เอฟเวอร์กรีน" ตั้งที่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของ "นิรันดิ์ชัย เกษบึงกาฬ" หรืออาจารย์น้อย ใช้กรรมวิธีระบบน้ำหยด ใช้ฮอร์โมนอาหารเสริม สามารถได้ผลผลิตถึงไร่ละ 30 ตัน 

ปลูกมันสำปะหลัง

นิรันดิ์ชัย บอกว่า การเกษตรนั้นมีองค์ประกอบสำคัญ 4 อย่าง คือ หากดินดี กล้าพันธุ์ดี น้ำดี ดูแลดี เท่ากับมีชัยไปแล้วเกินครึ่ง อย่างมันสำปะหลังโดยทั่วไปจะปลูกได้ผลผลิตราว 3.5-5 ตันต่อพื้นที่ปลูก 1 ไร่ แต่หากไร่มันที่ปลูกในสภาพที่ดินดี มีการนำกล้าพันธุ์ที่ดี จัดการระบบน้ำที่ดี และดูแลใส่ปุ๋ยที่ดีเหมาะกับสภาพดิน และเป็นไปตามที่พืชต้องการก็สามารถที่จะให้ผลผลิตเพิ่มได้ เพราะพืชเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง หากมีอาหารอุดมสมบูรณ์ สุขภาพย่อมแข็งแรง แต่หากมีการเสริมอาหารที่เกินกว่า อาหารประจำยิ่งจะทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย การปลูกมันสำปะหลังก็เช่นกัน หากให้ฮอร์โมนอาหารเสริมก็จะได้ผลผลิตมากขึ้น อย่างที่ไร่ของเขาใช้ใช้ฉีดพ่น สารฮอร์โมนซูเปอร์ แม็กซ์ กรีน (SUPER MAX GREEN) ทางใบแบบละอองฝอยให้ทั่วแปลง ทำใให้ได้ผลผลิตไร่ละกว่า 30 ตัน

เจ้าของสวนเขาใหญ่ เอฟเวอร์กรีน บอกถึงวิธีการปลูกมันสำปะหลังที่ได้ไร่ละ 30 ตัน ว่า มีขั้นตอนง่ายๆ คือปรับปรุงดินโดยการใช้ปุ๋ยคอก จะเป็นขี้ไก่ ขี้วัว ขี้นกกระทา หากเป็นขี้ไก่ ขี้วัวใส่ 1 ตันต่อไร่ ส่วนขี้นกกระทาใช้ 600 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านให้ทั่วแปลงแล้วไถกลบ จากนั้นฉีดพ่นด้วยสารระเบิดดินเอเวอร์กรีน ซอล (“Evergreen Sio)” ช่วยปรับโครงสร้างดินระเบิดดินด้าน ดินแข็งตัว และเพิ่มออกซิเจนในดิน จากนั้นไถแปรหรือตีดินให้ละเอียด แล้วยกร่องขนาดใหญ่ให้ได้ขนาด 1.20 เมตรต่อร่อง แล้วฉีดยาคุมหญ้า ป้องกันการงอกของวัชพืช

ขั้นตอนต่อมา ติดตั้งระบบน้ำ จะใช้ระบบสปริงเกลอร์ หรือระบบน้ำหยดก็ได้ในสวนของเขาใหญ่ เอฟเวอร์กรีนใช้ระบบน้ำหยด จากนั้นเตรียมท่อนพันธุ์ มันสำปะหลัง เกล็ดมังกรจัมโบ้เบอร์ 4 ด้วยการนำท่อนพันธุ์ไปแช่น้ำ อาหารเสริมสำหรับพืช แคปซูลนาโนผสมกรดไขมันพืชเข้มข้น ซูเปอร์ แม็กซ์ กรีน 1 แคปซูลละลายในน้ำ 60 ลิตรแล้วนำท่อนพันธุ์ลงแช่ในน้ำนาโนผสมกรดไขมันพืชนาน 2-4 ชั่วโมง แล้วนำท่อนพันธุ์ไปปลูก ส่วนน้ำแช่ท่อนพันธุ์นำไปฉีดพ่นทางใบกับพืชที่ปลูกไว้ในแปลงได้ทุกชนิด

วิธีการปลูกนำท่อนพันธุ์ที่แช่น้ำยานาโนผสมกรดไขมันพืช แล้วนำมาปักแบบตั้งตรง ลงไปในดินให้เหลือตากิ่งเพียง 2-3 ตาเท่านั้น ส่วนตาที่ปักลงดิน 3-4 ตาจะทำให้ลงหัวเป็นชั้นๆ ตามตาที่สมบูรณ์ ปลูกห่างกัน 1.20x1.20 เมตร หลังปลูกเสร็จแล้ว ให้เปิดน้ำหยด รดต้นมันนานประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากนั้นให้เปิดน้ำทุกๆ 15 วันหรือให้ดูความชื้นของดิน ถ้ามีความชื้นมากพอที่เปิดน้ำห่างกัน 20 วัน โดยเฉพาะฤดูฝน อาจจะไม่ต้องรดน้ำเลย สรุปการรดน้ำด้วยระบบน้ำหยดให้รดห่างกัน 15-20 วันต่อครั้ง ครั้งละประมาณ 2 ชั่วโมง

หลังจากปลูกมันสำปะหลังไปได้ 2 อาทิตย์ จะเริ่มแตกยอดอ่อนและมีใบแท้ประมาณ 2-3 ใบ จะใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน ใบอ่อนจะเริ่มมีความสม่ำเสมอ ทั่วแปลง จนกว่าอายุจะได้ประมาณ 1 เดือน ให้ฉีดพ่น ซูเปอร์ แม็กซ์ กรีน ทางใบแบบละอองฝอยให้ทั่วแปลง จนอายุได้ 1 ปี 2 เดือน ให้ผลผลิตหัวที่ใหญ่สุดน้ำหนักถึง 60-70 กิโลกรัม หัวเล็กสุดได้น้ำหนัก 24 กิโลกรัม เฉลี่ยแล้ว 1 ไร่ จะได้ถึง 30 ตัน

สนใจปลูกมันสำปะหลังแบบฉบับสวนเขาใหญ่ เอฟเวอร์กรีน สอบถามได้ที่ นิรันดิ์ชัย โทร.08-1790-1924 หรือที่ บริษัทภูธร จำกัด โทร.09-4885-8575, 09-2438-2898

ไปหน้าแรก  เกษตรพอเพียง




ที่มา www.komchadluek.net บทความโดย ดลมนัส กาเจ

วิถีที่พอเพียง ทางเลือกชาวบ้านดอกแดง


วิถีที่พอเพียง ทางเลือกชาวบ้านดอกแดง

เทศบาลตำบลสง่าบ้าน อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีการบริหารงานครอบคลุมพื้นที่ 2 ตำบล ได้แก่ 1) ตำบลสง่าบ้าน มีพื้นที่ประมาณ 2,400 ไร่ ประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน มีประชากรทั้งสิ้น 2,167 คน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม เหมาะกับการเพาะปลูก ทำนา คนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกร ทำนา เลี้ยงโค 2) ตำบลป่าลาน เป็นตำบลที่ยุบสภาตำบลป่าลานรวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลสง่าบ้าน เมื่อปี พ.ศ.2547 มีพื้นที่ประมาณ 1,912 ไร่ ประกอบด้วย 6 หมู่บ้าน มีประชากรทั้งหมด 1,990 คน พื้นที่ส่วนใหญ่เหมาะกับการเพาะปลูก ทำนา คนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกร ทำนา แต่ต้องเช่าที่จากนายทุน หลังจากที่นายทุนกว้านซื้อที่นาไปในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ ปี 2534

วิถีพอเพียงชาวบ้านดอกแดง

วิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ นำไปสู่วิกฤตของชุมชน เกษตรกรต้องประสบกับภาวะขาดทุนจากการทำนา เนื่องจากต้องซื้อปุ๋ยเคมี และสารเคมีเพื่อใช้ในการเพาะปลูก ซึ่งมีต้นทุนสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศรอบตัวเกษตรกร เริ่มเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ จากการปนเปื้อนของสารเคมี สัตว์เลี้ยงและสิ่งมีชีวิตในนาข้าวต้องตายลงจากสารเคมี ขณะที่เกิดโรคระบาดในนาข้าว ดินเสื่อมลงจากการใช้สารเคมี ในน้ำไม่มีปลา ในน้ำไม่มีข้าวเหมือนในอดีต ประกอบกับการรับวัฒนธรรมวัตถุนิยมเข้าไปใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจชุมชนต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ชุมชนทั้งตำบลสง่าบ้านและตำบลป่าลาน จึงได้รวมกันเป็น กลุ่มเพื่อการผลิตเกษตรอินทรีย์ในหมู่บ้านดอกแดง เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว โดยการถอดบทเรียนในพื้นที่ เปรียบเทียบสถานการณ์ในอดีตกับปัจจุบัน จนเห็นว่า ภูมิปัญญาในการประกอบอาชีพและการทำมาหากินในชุมชนดั้งเดิมกำลังถูกลืมเลือนไป ด้วยคำว่า ง่ายและรวดเร็วดังการหันหน้าไปพึ่งสารเคมีในการเพาะปลูกทดแทนวิถีการผลิตแบบดั้งเดิม และตั้งใจว่า จะนำชุมชนไปสู่วิถีการผลิตแบบดั้งเดิม หรือวิถีการผลิตแบบผสมผสาน เพื่อลดการใช้สารเคมี สร้างธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ ดังพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เกี่ยวกับการเดินทางสาย หรือการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง
ในการรวมกลุ่มเพื่อการผลิตเกษตรอินทรีย์ของชุมชนบ้านดอกแดง ตำบลสง่าบ้าน อำเภอดอยสะเก็ด ช่วงเริ่มต้นได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในโครงการ SML จำนวน 200,000 บาท ร่วมกับการรวมหุ้น การออม เพื่อกระตุ้นการผลิต และการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน จนชาวบ้านดอกแดงเริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการใช้จ่ายอย่างถูกวิธี รู้จักการเก็บออม และมีการทำเกษตรอินทรีย์โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 

กลุ่มการผลิตบ้านดอกแดงดังกล่าว มีทั้งสิ้น 12 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กลุ่มเกษตรกรทำนา กลุ่มปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ (ปุ๋ยอินทรีย์-น้ำหมักชีวภาพ น้ำส้มจากควันไม้) กลุ่มรถเก็บเกี่ยวข้าว กลุ่มโรงสีข้าว กลุ่มข้าวซ้อมมือ กลุ่มผักปลอดสารพิษ พืชสวนครัวรั้วกินได้ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า กลุ่มจักสาน และกลุ่มเยาวชนดนตรีพื้นเมือง ทั้งนี้ ในแต่ละกลุ่มต่างมีจุดมุ่งหมายของตนเองในการรวมตัวกัน มีการบริหารจัดการโดยใช้วัสดุและเวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตามคำแนะนำของกลุ่มองค์กร หน่วยงานภาครัฐ ที่เข้าไปหนุนเสริมตลอดเวลา

กลุ่มเกษตรกรทำนา ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2535 โดยการตั้งกลุ่มทำนาแบบธรรมชาติจากการร่วมระดมของคนในหมู่บ้าน ให้เป็นกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้และยกระดับเกษตรกรที่มีฐานะยากจน ช่วยลดต้นทุนการผลิต ช่วยต่อรองราคาค่าจ้างและผลผลิตจากพ่อค้าคนกลาง โดยมีเงินหมุนเวียนในระยะแรกเป็นจำนวนเงิน 10,500 บาท สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์ให้กับเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง ต่อมาได้จดทะเบียนนิติบุคคลในชื่อว่า กลุ่มทำนาตำบลสง่าบ้านปัจจุบัน มีสมาชิก 105 คน เงินทุนหมุนเวียน 149,857 บาท

กลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2547 มีสมาชิกเริ่มต้นเพียง 16 คน จนปัจจุบันมีสมาชิก 106 คน โดยมีวัตถุประสงค์การจัดตั้งดังนี้ 1) เพื่อ ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาประกอบอาชีพการเกษตรแบบอินทรีย์ 2) เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพการเกษตร โดยลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรจากการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง 3) เพื่อแก้ไขปัญญาการว่างงาน โดยการจ้างแรงงานในพื้นที่ 4) เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในชุมชน สำหรับผู้มีรายได้น้อยและไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จปฐ. 5) เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป 6) เพื่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน

กลุ่มรถเก็บเกี่ยวข้าว สืบเนื่องจากการจัดตั้งกลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพ และได้ดำเนินการผลิตปุ๋ยเพื่อใช้ในการเกษตรตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2548 เป็นต้นมา ทำให้กลุ่มมองต่อถึงความสำคัญของวิทยาการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ที่มีผลต่อการสูญเสียผลผลิตข้าวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่ผ่านมาการเก็บเกี่ยวผลผลิตล่าช้า จากการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร และรถเก็บเกี่ยวข้าวเข้าไปรับจ้างเก็บเกี่ยวในเวลาที่ไม่สมควร จึงเกิดการพิจารณาโครงการจัดชื้อรถเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อแก้ไขปัญหาการเก็บเกี่ยวผลผลิต ลดปัญหาการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร ช่วยกระจายรายได้จากการจ้างงาน

กลุ่มโรงสีข้าว จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชน โดยการสร้างงาน สร้างรายได้ ลดรายจ่าย เพิ่มมูลค่าผลิตผลทางการเกษตรโดยการแปรรูปผลผลิตข้าว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการผลิตข้าวขาวและข้าวอินทรีย์ชีวภาพ ช่วยให้เกิดการจ้างงานในหมู่บ้านด้วยกิจกรรมโรงสีข้าว หวังเสริมสร้างความสามัคคี จากการทำงานเป็นทีมของชุมชน รวมทั้ง เชื่อมโยงด้วยโครงการทำปุ๋ยชีวภาพ และโครงการจัดซื้อรถเกี่ยวข้าว เนื่องในวโรกาสฉลองการครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ตลอดจนให้บริการสีข้าวแก่สมาชิกชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ

กลุ่มข้าวซ้อมมือ เกิดขึ้นจากการเห็นความสำคัญของข้าว ที่เป็นอาหารหลักของคนไทย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ด้วยกระบวนการผลิตทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการไปอย่างมาก จึงเห็นร่วมกันให้นำมาผลิตเป็นข้าวซ้อมมือ เพื่อคงไว้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการให้มากที่สุด ให้อุดมด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถเป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในชุมชน เสริมสร้างรายได้ ส่งเสริมสุขภาพ และเผยแพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้


กลุ่มแม่บ้าน เริ่มจากการรวมกลุ่มทำกิจกรรมของกลุ่มสตรีแม่บ้าน เพื่อดำเนินกิจกรรมทางศาสนาของวัดและกิจกรรมสาธารณะของหมู่บ้าน เมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน ต่อมาได้ร่วมกันผลิตสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น นำยาล้างจาน และน้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว และจัดจำหน่าย เพื่อเป็นรายได้เสริมของกลุ่มแม่บ้าน

กลุ่มผู้สูงอายุ แต่เดิมมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมในรูปศูนย์สงเคราะห์ราษฎรประจำหมู่บ้านเดิม ต่อมาพัฒนาเป็นชมรมผู้สูงอายุบ้านดอกแดง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวมกลุ่มกันออกกำลังกายในตอนเช้า ในรูปแบบของการรำมวยจีน กระบี่กระบอง และรำพัด ต่อมาได้มีการร่วมกันจักสานหวาย เพื่อสร้างรายได้และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า ตั้งอยู่ที่อาคารโรงเรียนดอกแดงรัฐราษฎรอุปถัมภ์ มีสมาชิกทั้งหมด 16 คน มีผู้ถือหุ้น 25 คน จำนวน 400 หุ้นๆ ละ 10 บาท แรกเริ่มเดิมที นางศรีพรรณ แก้วตา ประธานกลุ่ม ประกอบอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้ามาก่อนในรูปอุตสาหกรรมในครัวเรือน ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น รองเท้าใส่ในบ้าน เบาะรองนั่ง ที่นอนปิกนิก ผ้าเช็ดมือ ผ้ากันเปื้อน เป็นต้น ผ่านไป 16 ปี ต้องประสบกับปัญหาสุขภาพไม่แข็งแรง ประกอบกับความต้องการให้เพื่อนบ้านมีรายได้เสริม สามารถแบ่งเบาภาระครอบครัว และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จึงได้รวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านเป็นกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า การดำเนินงานในระยะแรกยังขาดแคลนเครื่องจักร อุปกรณ์และวัตถุดิบในการผลิต เช่น จักรอุตสาหกรรม จักโพล้ง เครื่องตัด แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 ได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลสง่าบ้าน (ยกระดับเป็นเทศบาลในภายหลัง) จำนวน 30,000 บาท เพื่อจัดซื้อจักรอุตสาหกรรม จำนวน 4 หลัง จักรโพล้ง 1 หลัง ปัจจุบันสมาชิกในกลุ่มมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจ้างทำเป็นรายชิ้น ตามแบบที่ทำขึ้น

นอกเหนือจากตัวอย่างกลุ่มต่างๆ ดังกล่าว บ้านดอกแดงยังเป็น ศูนย์ยุติธรรมนำร่อง จากสำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเปิดดำเนินการ เมื่อวันที่ 23 กันยายน โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อให้ผู้นำชุมชนเข้าใจถึงความหมายและวิธีการดำเนินการของยุติธรรมชุมชน 2) เพื่อให้คนในชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันในชุมชนอย่างสันติสุข 4) เพื่อเสริมสร้างความรู้ พัฒนาอาชีพของคนในชุมชนให้สามารถพึ่งตนเองได้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และป้องกันยาเสพติด

ปัจจุบันชุมชนบ้านดอกแดงเป็นชุมชนตัวอย่าง และชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง จากการบริหารการจัดการที่เป็นระบบ มีการนำเอาทรัพยากรในท้องถิ่นมาปรับใช้ในการผลิต สร้างรายได้ ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน รวมทั้งมีการฟื้นสภาพสิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์ขึ้น ตลอดจน ได้รับรางวัลต่างๆ อาทิ

รางวัลชนะเลิศ หมู่บ้านเข้มแข็ง สุขภาพแข็งแรง แบบมีส่วนร่วม ระดับอำเภอ ประจำปี 2549และ 2550

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 การประกวดข้าวหอมมะลิ จังหวัดเชียงใหม่ 2548/49

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 การประกวดข้าวหอมมะลิ จังหวัดเชียงใหม่ 2538/39

รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง อยู่เย็น เป็นสุขประจำปี 2551 (รองชนะเลิศอันดับ 2)

รางวัลหมู่บ้านและชุมชนดีเด่น ตามโครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) ปี 2548

จากความสำเร็จดังกล่าว เทศบาลตำบลสง่าบ้านจึงได้จัดซื้อที่ดินให้กับ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านดอกแดง จำนวน 3 ไร่ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมแหล่งผลิตกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแห่งหนึ่งในอำเภอดอยสะเก็ด และในอนาคตภาคส่วนต่างๆ จะร่วมกันพัฒนาให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้ที่ครบวงจรและเป็นต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศูนย์การศึกษาของคนทั้งตำบล เป็นพื้นที่เอกลักษณ์ที่สื่อถึงวิถีชีวิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น การนำเอาทรัพยากรในชุมชนมาใช้ให้ประโยชน์ การอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศน์ ตลอดจนสามารถขยายฐานความรู้ไปในระดับอำเภอและจังหวัด และสามารถสร้างฐานเศรษฐกิจจากการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และภูมิปัญญาท้องถิ่น

นับได้ว่า บ้านดอกแดง เริ่มจากฐานการทำงานภายใต้ระบบเครือญาติ โดยเอาปัญหาเรื่องปากท้องมาเป็นปัญหาหลักภายในชุมชน แล้วค่อยๆ ช่วยเหลือกันมาตามความสมัครใจ จนสามารถเป็นแบบอย่างของการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีของการอยู่อย่างพอเพียงได้


Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Facebook Themes